พ.ศ. 2465 พรรษาที่ 17 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส
พรรษาที่ 17
ในพรรษา หลวงปู่ได้นำพาพระภิกษุสามเณร ประกอบความพากเพียรอย่างเด็ดเดี่ยว เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ไม่ให้มีกิจการงานภายนอก นอกจากการทำกิจวัตรข้อวัตรเท่านั้น
สร้างศาลาการเปรียญวัดป่าสันติกาวาสหลังที่ 2
ศาลาการเปรียญวัดป่าสันติกาวาสหลังที่ 2
ออกพรรษาปีพ.ศ. 2495 แล้ว หลวงปู่เป็นผู้นำพาญาติโยม สร้างศาลาการเปรียญหลังที่ 2 เพราะศาลาหลังแรกนั้นเป็นศาลาชั่วคราว หลังที่ 2 นี้ ท่านได้พาญาติโยม ตัดเอาไม้ที่ล้มหมอนนอนดินอยู่ในบริเวณวัดมาทำเสา โดยมีโยมผู้ชายที่เป็นช่าง ถากไม้รวมทั้งหลวงปู่ด้วย ช่วยกันใช้ขวานถากไม้ที่เป็นต้น ให้กลายเป็นเสาสี่เหลี่ยมหน้า 8 นิ้ว คูณ 8 นิ้ว ยาว 8 เมตร ทำเป็นเสาศาลา ไม้เครื่องข้างบนข้างล่าง เช่น จันทัน, แปและขาง, ตง, กระดานพื้น ได้มีโยมมีศรัทธาถวายต้นไม้ที่มีอยู่ในนา ที่วังกุดคล้าบ้านเพียปู่ ซึ่งอยู่ห่างจากวัดป่าสันติกาวาสไปประมาณ 6 กม. หลวงปู่ได้พาญาติโยมและพระเณรไปเลื่อยแปรรูป ด้วยเลื่อยมือใช้คนดึงสองข้าง
ตอนเช้าเมื่อฉันจังหันเสร็จ ก็เตรียมแบกสัมภาระ ผู้แบกเลื่อยก็แบก ผู้หาบน้ำไปไว้สำหรับฉันก็หาบ เดินทางออกจากวัดไประยะทาง 6 กม. ถึงที่ทำงานก็ช่วยกันทำ ทั้งโยมทั้งพระช่วยกันเลื่อยไม้ เมื่อค่ำก็แบกสัมภาระกลับ มาถึงวัดก็มืด หลวงปู่ยังพาพระเณรทำกิจวัตรข้อวัตร กวาดลานวัดกลางคืนนั้นแหละ เสร็จแล้วต้องตับน้ำหาบน้ำ ใส่ตุ่มใส่ไหสำหรับใช้สำหรับฉัน สำหรับปานะของฉัน เพื่อระงับความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานก็ไม่มีอะไรละ ท่านว่าพอกลับมาถึงวัดก็ต้มใบขนุนย่างไฟ หรือไม่ก็ใบแดงย่างไฟ เมื่อมันเดือดแล้วก็นำน้ำร้อนนั้นมาแจกกันฉันเท่านั้น เรื่องน้ำอ้อย น้ำตาล โกโก้ กาแฟ ไม่ต้องถามถึง แต่จะหาทำยาก็ยากในสมัยนั้น ฉันน้ำร้อนเสร็จแล้ว ท่านยังต้องทำความพากเพียรเดินจงกรมภาวนาอีก ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย
หลวงปู่เป็นผู้มีความเพียร เป็นผู้มีความอดทน หลวงปู่เหน็ดเหนื่อยเพื่อประโยชน์สุขแก่ลูกหลานผู้เกิดสุดท้ายภายหลัง การเลื่อยไม้ทำศาลาในครั้งนั้นกว่าจะได้ไม้พอทำศาลา 1 หลัง ก็ใช้เวลาเป็นเดือนสองเดือน เมื่อได้ครบแล้วก็ให้ช่างยกโครงศาลาขึ้นเสร็จในปีนั้น หลวงปู่เป็นผู้ออกแบบและดูแลการก่อสร้างเองด้วย ศาลากว้าง 12 เมตร ยาว 20 เมตร เป็นศาลายกพื้นสูง ใต้ถุนสำหรับใช้อาศัยในฤดูร้อนได้ เมื่อยกโครงสร้างไว้เสร็จแล้ว แต่ยังขาดเครื่องมุง หลวงปู่จึงได้จ้างนายอ้วย นามแก้ว เป็นผู้หล่อกระเบื้องซีเมนต์สี่เหลี่ยม กว่าจะพอมุง ศาลาก็กินเวลาผ่านไปหนึ่งฝน จนถึงปีพ.ศ. 2497 ศาลาการเปรียญจึงเสร็จเรียบร้อย
ย้อนกลับ ต่อไป
|