ผลของการทำบาป
มีพระเถระองค์หนึ่งอยู่ในป่า บำเพ็ญอยู่ในสถานที่นั้น เลยตั้งเป็นวัดขึ้นมา อาศัยอยู่ในกุฏิ ตามธรรมดากิจวัตรของท่านเมื่อเวลาตื่นเช้ามา ก็เที่ยวโคจรบิณฑบาต เมื่อเวลาบิณฑบาตมา ฉันเสร็จแล้ว ท่านก็นำบริขารของท่านขึ้นไว้บนกุฏิ แล้วท่านก็เดินจงกรมภาวนาอยู่อย่างนั้นเป็นประจำ
ครั้นอยู่ต่อมาในวันหนึ่ง นายพรานเที่ยวหาล่าสัตว์อยู่ในแถวนั้น พอเมื่อเวลานั้นนายพรานก็เลยเกิดกระหายน้ำ เมื่อเวลาเกิดกระหายน้ำมากก็เลยเดินโซเซออกมา ในขณะนั้นพระมหาเถระท่านเดินจงกรมแล้วท่านก็ไปสรงน้ำที่โอ่ง พอสรงน้ำเสร็จแล้ว ท่านก็ไปตักเอามาใส่ตุ่ม หรือใส่โอ่งนั้นให้เต็มเปี่ยม แล้วท่านก็ขึ้นไปบนกุฏิของท่าน มาพิจารณาทุกขัง อนิจจัง อนัตตาบนกุฏิ เมื่อพิจารณาอยู่ ในขณะนั้นนายพรานนั้นก็มาจากในป่า มาเพื่อต้องการอยากจะรับประทานน้ำ ก็เดินมาดูที่โอ่งน้ำก็ไม่เห็น มองดูในโอ่งก็มีแต่โอ่งเปล่าๆ ไม่เห็นน้ำเลย แทนที่จะเห้นน้ำอยู่ในโอ่งซึ่งท่านตักเอาไว้แล้ว พระมหาเถระตักไว้เต็มเปี่ยมเลย นายพรานก็เลยบ่นขึ้นว่า "สมณะนี้ก็ขี้เกียจเหลือเกิน ขี้คร้านเหลือเกิน ไม่เห็นตักน้ำมาใส่ตุ่ม ใส่โอ่งไว้" เมื่อได้บ่นขึ้น พระมหาเถระท่านก็เลยได้ยิน พอเมื่อเวลาได้ยินท่านก็เลยลุกมาส่องดูน้ำในตุ่ม ก็เห็นน้ำเต็มเปี่ยมอยู่ ก็เลยร้องตะโกนลงไปหานายพราน "เอ้า ทำไมล่ะนายพราน น้ำเต็มโอ่งอยู่ทำไมถึงว่าน้ำไม่มี" พอเมื่อเวลาพระมหาเถระพูดอย่างนั้น ก็เลยมองดูในโอ่งก็เห็นน้ำเต็มเปี่ยม เอาน้ำขึ้นมาทาน พอทานอิ่มหนำสำราญแล้วก็เลยรำพึงในใจว่า "เราทำบาปกรรมอะไรมากมาย น้ำที่ท่านตักมาไว้ในตุ่มในโอ่งก็เต็มเปี่ยม เราทำไมจึงไม่เห็น เมื่อท่านพูดว่าน้ำเต็มโอ่งทำไมเราจึงรู้เห็นตามภายหลัง ด้วยผลกรรมอะไรของเราจึงเป็นไปเช่นนั้น" ก็เลยเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ
เมื่อเวลาเกิดความสงสัยแล้วก็เลยล้างเท้าขึ้นไปบนกุฏิ ไปกราบนมัสการพระมหาเถระ พอกราบนมัสการพระมหาเถระ ก็เลยกราบเรียนท่าน "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระมหาเถระ ด้วยบาปกรรมอะไรของข้าพเจ้า น้ำที่เต็มตุ่มหรือเต็มโอ่งอยู่ข้าพเจ้าก็ไม่มองเห็น ด้วยกรรมอะไรของข้าพเจ้า"
พระมหาเถระก็เลยแสดงให้ฟัง "ดูก่อนนายพราน เนื่องจากกรรมของท่านทำเอาไว้ คือฆ่าสัตว์ทำลายชีวิตของเขา และอีกนัยหนึ่งนายพรานก็ไม่เคยให้ทานน้ำสักที"
"โอ้โฮ ถ้าทำกรรมอย่างนี้จะไปที่ไหน" ได้กราบเรียนท่านต่อ
ท่านบอกว่า "ถ้าหากว่าไม่บำเพ็ญคุณงามความดีแล้วก็จะไปสู่นรก"
"เจ้านรกนี่มันเป็นอย่างไร มันร้อนขนาดไหน" เลยกราบเรียนท่าน
"ร้อนยิ่งกว่าไฟในมนุษย์หลายร้อยเท่า ไฟในมนุษย์ว่าร้อนก็ยังไม่ร้อนเท่าไฟในนรก"
"ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรข้าพเจ้าจะพ้นจากบาปกรรม"
"ถ้าอยากพ้นจากบาปกรรม ก็ต้องเว้นจากบาป หรือออกมาบวชบำเพ็ญคุณงามความดี จึงจะพ้นจากบาปกรรมได้"
"ถ้าอย่างนั้นไฟในนรกนั้นมันจะร้อนขนาดไหน"
พระมหาเถระก็เลยบอกว่า "ถ้าอยากรู้จักก็ให้นายพรานตัดเอาไม้มะเดื่อสดมากองให้สูงเพียงตา" ว่าอย่างนั้น นายพรานก็เลยไปตัดเอาไม้มะเดื่อสดมากองขึ้นให้สูงเพียงตา
พอกองขึ้นพอแล้วก็เลยมาเรียนท่าน "ข้าพเจ้าไปตัดเอาไม้มะเดื่อมากองได้ตามกำหนดแล้ว"
"เออ ถ้าอย่างนั้นนายพรานก็เอาไฟไปจุดดูซิ" นายพรานก็เอาไฟไปจุด พอเมื่อเวลาจุด จุดอย่างไรมันก็ไม่ไหม้ หาเอาไม้อย่างอื่นที่มันแห้ง มันตายแล้ว มาก่อขึ้น พอลุกขึ้นมาสักครู่ น้ำมะเดื่อก็ไหลออกมาดับไฟให้หมดสิ้นลง ทำอย่างไรก็ไม่ไหม้ พอเมื่อเวลาลุกขึ้นมา น้ำไม้มะเดื่อก็ไหลออกมาดับไฟหมด จนหมดความสามารถ ไม่สามารถที่จะเผาไม้มะเดื่อสดให้ไหม้ให้หมดได้ เลยไปกราบเรียนท่าน "ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะก่อไฟหรือติดไฟ ให้ไฟไหม้ไม้มะเดื่อสดได้"
"หมดความสามารถเลยหรือ"
"หมดแล้วพระเจ้าข้า"
"เออ ถ้าอย่างนั้นเราจะไปเอาไฟจากนรกมาให้ดู" ท่านก็เลยไป พอไปแป๊บเดียวเท่านั้น ไปเอาไฟมาจากนรกเท่าแสงหิ่งห้อย เคยรู้จักไหมแสงหิ่งห้อย แค่นั้นแหละ พอเอามาแล้วก็เลยเรียกนายพรานนั้นมา "เอ้า มาดูซิ" พอมาดู ท่านก็เลยเอาไฟในนรกนั้นปล่อยเข้าไปในกองไม้มะเดื่อสด พอปล่อยเข้าไปลุกพรึบขึ้นเลย แป๊บเดียวเท่านั้นเกลี้ยงเลย ไม่มีตลอดทั้งผงเถ้าถ่านก็ไม่มี เกลี้ยงเลย นี้ร้อนขนาดไหนไฟในนรก นายพรานก็เลยรู้สึกว่ากลัวมาก เลยขอบวชในสำนักของท่าน ท่านก็อนุญาตให้บวช
พอเมื่อบวชแล้วท่านก็แนะนำให้เดินจงกรม นั่งภาวนา พอไปเดินจงกรม ลืมตาไปก็เห็นแต่ขานกหัวนก นั่งภาวนาหลับตา พอเมื่อเวลาหลับตาลงไปก็มองเห็นแต่ขานกหัวนกอยู่อย่างนั้น จนเกิดเดือดร้อนใจไม่เป็นอันอยู่อันกิน ผลสุดท้ายก็เลยไปกราบเรียนท่าน "ข้าพเจ้าเดินจงกรม นั่งภาวนา ไม่ได้พระเจ้าข้า จะทำอย่างไร เมื่อเวลานั่งหลับตาก็เห็นแต่ขานกหัวนก หรือเดินจงกรมก็เห็นแต่ขานกหัวนก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร"
"ถ้าอย่างนั้น นายพรานอย่าเอาใจไปจดจ่อหรือไปยึดถือ ถึงแม้ว่ามันจะเกิดขึ้นมาก็ช่างมัน จะเป็นหัวนกหรือขานกก็ช่างมัน เราภาวนานึกพุทโธ พุทโธ ให้ใจเราฟั่นเฝืออยู่กับพุทโธเท่านั้นแหละ ไม่ต้องเอาใจไปจดจ่อในสิ่งที่มันเกิดมันเป็นขึ้นมา" แต่นั้นนายพรานก็ตั้งใจเดินจงกรม ถึงแม้ว่าขานกหัวนกจะเกิดขึ้นมาก็ไม่ต้องเอาใจไปจดจ่อ หรือไปยึดถืออะไร นั่งภาวนาปล่อยวางไม่นึกอะไรทั้งนั้น ไม่ยึดไม่ถือ พอเมื่อเวลาบำเพ็ญไป บำเพ็ญไป ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พอเมื่อเวลาได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ในขณะนั้นกรรมเหล่านั้นมันก็สิ้นสุดลง ลบล้างไปหมด กรรมก็ติดตามไม่ได้ เมื่อเวลาดับขันธ์แล้วก็เข้าสู่ปรินิพพาน นี้หมดกรรมแก้กรรมที่นี่ แก้ที่ใจนั้น ถ้าไม่แก้ที่ใจที่อื่นก็ไม่รอด ไม่พ้นกรรม จะต้องการไปไหมน่ะ หรือไม่เคยเห็นนรก ขอไปสักทีหรือจะลองไป เอาไหม
|