พรรษาที่ 15 พ.ศ. 2493 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส บ้านหนองตูม ต.ไชยวาน อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
เมื่อถึงกาลเข้าพรรษา หลวงปู่จึงได้อธิษฐานจำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส พร้อมกับลูกศิษย์ที่ได้มาร่วมสร้างวัดด้วยกัน
ในพรรษานี้หลวงปู่ท่านมีอายุล่วงไป 35 ปีแล้ว ท่านได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจที่ประกอบด้วยขันติ วิริยะ และเมตตา อบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ให้มุ่งมั่นในการปฏิบัติตามหลักการของอริยมรรค ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา สอนอุบาสก อุบาสิกา ให้ท่องจำคำทำวัตรเช้าเย็น ตามแบบพระอาจารย์ใหญ่สิงห์ ขนฺตฺยาคโม ในระยะนั้นยังไม่ค่อยมีการพิมพ์หนังสือทำวัตรสวดมนต์มาก หลวงปู่ท่านต้องใช้ดินสอดำเขียนบททำวัตรสวดมนต์เช้าเย็นลงในแผ่นกระดาษแจกให้พวกญาติโยมนำไปท่องบ่น เมื่อจำได้แล้วก็มาว่าให้ท่านฟัง คำไหนว่าไม่ถูกท่านก็สอนให้ นำว่าไปจนชำนิชำนาญ หลังจากฉันจังหันเช้าเสร็จ ท่านก็นั่งสอนให้พวกญาติโยมที่มาถวายอาหารบิณฑบาตตอนเช้า เวลาตอนเย็นมีพวกญาติโยมออกมาหัดไหว้พระสวดมนต์ และฟังธรรม ท่านก็สอนให้หัดไหว้พระภาวนาไปจนถึงเวลา 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม ท่านจึงให้เลิกกลับบ้าน เมื่อถึงวันอุโบสถ คือ 8 ค่ำ 14 ค่ำ 15 ค่ำ หลวงปู่ท่านก็สอนให้ญาติโยมถพากันสมาทานศีล 8 รักษาอุโบสถศีลอยู่ที่วัด เป็นเวลาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง
ในภาคเช้าของวันพระ เมื่อพระเณรกลับจากบิณฑบาตในหมู่บ้านมาถึงวัด ญาติโยมจากหมู่บ้านต่างมารวมกันที่วัด นำอาหารประเคนถวายพระ หลังจากพระเณรแจกอาหารในบาตรเสร็จ หลวงปู่ท่านจะให้ญาติโยมสมาทานศีล 8 แล้วหลวงปู่ก็ให้ศีลไปจนจบแล้ว ท่านก็สอนให้พระเณรพิจารณาอาหารบิณฑบาตก่อนฉันว่า "อาหารนี้ฉันเพื่อยังชีวิตให้เป็นอยู่ไปวันหนึ่งๆ พอได้ประพฤติศีลธรรมและเจริญเมตตาภาวนา อาหารนี้เมื่ออยู่ในภาชนะก็ดูน่าบริโภค เมื่อเข้าสู่ร่างกายของคนเราแล้วก็กลายเป็นของปฏิกูล ผ่านกระเพาะผ่านลำไส้ออกมาแล้ว เป็นของบริโภคไม่ได้เลย" ท่านสอนอย่างนี้เพื่อไม่ให้จิตใจกำเริบในเรื่องอาหาร เวลาฉันอาหารอยู่ ท่านก็สอนให้มีสติกำกับอยู่กับการฉัน ไม่ให้ปล่อยจิตใจโลเลไปตามรสชาติของอาหาร เป็นการปฏิบัติธรรมในเวลาฉันไปในตัวเลย หลวงปู่ท่านแผ่เมตตาแก่ศิษย์ทุกหมู่เหล่า ท่านคอยแนะนำว่าทำอย่างนี้ถูก ทำอย่างนี้ผิด ท่านคอยนำพาประพฤติปฏิบัติ และท่านคอยพร่ำสอนให้รู้ให้เข้าใจ ในสิ่งที่เป็นบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์
เมื่อท่านสอนพระเณรจบ ท่านก็นำอนุโมทนา คือให้พรญาติโยม เสร็จแล้วก็นำพาฉันภัตตาหาร เวลาลงมือฉันภัตตาหาร หลวงปู่ท่านก็สอนให้ดูครูบาอาจารย์ว่า ท่านลงมือฉันไปได้สัก 3 คำเสียก่อน แล้วพระเณรนอกนั้นจึงลงมือฉัน เรื่องการฉันอาหารนี้ท่านคอยสอดส่องอยู่เสมอ เพราะกิเลสมันชอบออกลายเวลาอย่างนี้มาก เพราะเรื่องอยู่เรื่องกินนี้เป็นเรื่องวุ่นวาย เมื่อพระเณรฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ก็ให็ญาติโยมรับประทานอาหารที่เหลือจากพระเณรนั้น ที่เรียกว่า ข้าวก้นบาตร พระเณรนำบาตรล้างในที่ๆจัดไว้สำหรับล้างบาตร เวลาล้างบาตร หลวงปู่ท่านก็สอนให้มีสติคอยระวังไม่ให้บาตรกระทบของแข็ง ไม่ให้วางบาตรบนของแข็ง ไม่ให้คุยกันในเวลาล้างบาตรและเช็ดบาตร ให้มีสติกำกับอยู่ที่ใจ นึกพุทโธเป็นอารมณ์ของใจเรื่อยไป เมื่อพระเณรล้างบาตรเช็ดบาตรให้แห้งแล้ว ถ้ามีแดดก็ให้ผึ่งแดดพอประมาณ แล้วนำบาตรเข้าถลก (ซบบาตร) ผูกสายรัดให้แน่นเรียบร้อย จากนั้นนำกระโถนที่ใช้สำหรับบ้วนน้ำหมาก น้ำลาย และทิ้งเศษอาหาร ไปชำระล้างให้สะอาด แล้วนำมาเช็ดด้วยผ้าสำหรับเช็ดกระโถนให้แห้ง แล้วเก็บในที่สำหรับเก็บกระโถน หลวงปู่ท่านสอนไม่ให้มักง่าย เวลาล้างกระโถนให้ระวังไม่ให้มีเสียงดัง ถ้าทำเสียงดังจะถูกท่านทักขึ้นทันที เป็นการเตือนให้มีสติ เมื่อพระเณรทำข้อวัตรเก็บกวาดที่ฉันเสร็จแล้ว ก็นำบาตรและกาน้ำกลับกุฏิ เข้าสู่ทางเดินจงกรม (เดินภาวนา) ไปจนถึงเที่ยงวันจึงให้หยุดพักผ่อน สำหรับตัวหลวงปู่เมื่อหลังจากฉันเสร็จแล้ว ท่านจะทำหน้าที่อบรมญาติโยม แสดงธรรมให้ฟัง บ้างก็แก้ข้อสงสัยที่แต่ละคนมีปัญหามาถามท่าน นำพาประกาศปฏิญาณตนถึงพระไตรสรณคมน์บ้าง เมื่อประกาศปฏิญาณตนเสร็จแล้ว ท่านก็สอนวิธีปฏิบัติตนในทางพระพุทธศาสนา กว่าจะเลิกกันได้ บางวันพระก็ล่วงเข้าไปบ่ายโมงสองโมง ท่านจึงลงจากศาลากลับไปกุฏิที่พักของท่าน ในขณะที่ท่านอบรมญาติโยมอยู่ที่ศาลานั้น ท่านต้องให้มีพระหรือเณร 1 องค์นั่งอยู่เป็นเพื่อนและคอยอุปัฏฐากรับใช้ ตลอดทั้งล้างกระโถนน้ำหมาก นำย่ามและกาน้ำของท่านไปส่งที่กุฏิของท่าน เมื่อเวลาท่านลงจากศาลา เวลาบ่าย 3 โมงเย็น หลวงปู่ให้กวาดลานวัด ตามทางเดินระหว่างกุฏิ รอบศาลา รอบกุฏิ เวลทำกิจวัตรปัดกวาดนี้ ท่านก็สอนให้ภาวนาไปด้วย คือไม่ให้พูดคุยกัน กวาดไปตั้งสติกำหนดใจนึกพุทโธไป เป็นการทำความเพียรไปในตัว กวาดลานวัดเสร็จแล้วพร้อมกันกวาดถูกศาลาโรงธรรม จากนั้นพร้อมกันหาบน้ำใส่ตุ่ม ตามกุฏิ ที่ล้างบาตร แล้วพระเณรพร้อมกันถวายการสรงน้ำหลวงปู่ เมื่อตัวเองสรงน้ำเสร็จแล้วก็เข้าสู่ทางเดินจงกรมจนถึงเวลา 2 ทุ่ม
สำหรับพวกญาติโยมที่มาจำศีลอยู่ที่วัดในวันพระ ตอนหัวค่ำหลวงปู่ก็สอนให้เดินจงกรม ไปจนถึงเวลา 2 ทุ่ม แล้วให้ขึ้นรวมกันบนศาลาโรงธรรม ทั้งพระเณรและญาติโยมร่วมกันทำวัตรสวดมนต์เย็น หลวงปู่เป็นผู้นำทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วหลวงปู่ท่านจะแสดงธรรมอบรมและนั่งสมาธิภาวนาไปจนถึงเวลาตี 2 ตี 3 บางวันพระท่านก็นั่งอยู่บนศาลา อบรมไปจนถึงตี 4 แล้วพากันทำวัตรเช้าจบ พอดีสว่างเป็นวันใหม่ จึงให้ญาติโยมกลับบ้านไป หลวงปู่ท่านสร้างวัด สร้างคน ให้เข้าถึงศีลถึงธรรม
สมบัติโลกหนักเท่าโลก สมบัติแผ่นดินหนักเท่าแผ่นดิน ท่านสอนว่า "การทำคุณงามความดี ถ้าเราไม่ทำเอา จะไปให้ใครทำให้เรา คนอื่นทำก็เป็นของเขา เราทำเอาจึงเป็นของเรา จะมามัวเมาเอาอะไรในสมบัติโลก มันเป็นสมบัติบ้า สมบัติโลกมันก็หนักเท่าโลก สมบัติแผ่นดินมันก็หนักเท่าแผ่นดิน ไม่มีใครหอบหิ้วเอาไปได้ดอก เอาไปได้แต่คุณงามความดี คือบุญกุศลที่ตนทำไว้แล้วเท่านั้น จงรีบเร่งทำความดี ดีกว่าทำความชั่ว รักกันดีกว่าชังกัน ฝึกฝนอบรมตน เอาตนให้ได้"
วาทะของท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แล้วหลวงปู่ท่านจะยกวาทะของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ขึ้นมากล่าวว่า ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ ตลอดระยะการเข้าพรรษาปี พ.ศ. 2493 จนถึงหลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้นำพาลูกศิษย์ลูกหาและญาติโยมให้ปฏิบัติธรรมตามหลักของศีลธรรมอยู่โดยสม่ำเสมอ ไม่เลือกว่าในพรรษาหรือนอกพรรษา
|