มูลเหตุที่ได้มาสร้างวัดป่าสันติกาวาส ย่างเข้าปี พ.ศ. 2493 ขณะนั้นบ้านหนองตูมมีเพียง 11 หลังคาเรือนเท่านั้น คณะศรัทธาญาติโยมบ้านหนองตูม มีพ่อมา สนทอง, พ่อสี นันทราช พ่อโส กล้าหาญ, พ่อทา บุษราคำ, นายพิมพ์ นิรเท ได้มีศรัทธาเลื่อมใสไปถวายทานและฟังธรรมจากหลวงปู่ที่ป่าช้าบ้านไชยวานด้วย เมื่อไม่ทราบว่าหลวงปู่จะไม่อยู่ที่ป่าช้าเพราะมีปัญหาเรื่องน้ำ คุณพ่อมา สนทอง จึงได้กราบเรียนให้หลวงปู่ทราบว่า ที่บริเวณป่าหนองท้มดงแสนแวน เป็นที่ว่างเปล่า เหมาะแก่การสร้างเป็นวัดป่า ขอนิมนต์ท่านอาจารย์ไปอยู่ในที่นั้น เมื่อหลวงปู่ได้ฟังอย่างนั้น จึงบอกให้พ่อมา สนทอง พร้อมกับหมู่คณะให้พากันไปขุดบ่อน้ำดูเสียก่อน ถ้าได้น้ำดีจึงค่อยไปอยู่ในที่นั้น พ่อมา สนทอง พร้อมหมู่เพื่อนพากันไปขุดบ่อน้ำในวันนั้น ขุดลึกไปประมาณ 4-5 เมตร ได้น้ำจืดสนิทดี จึงได้นำเอาน้ำไปถวายให้หลวงปู่ฉันดู เมื่อหลวงปู่ฉันน้ำดูแล้วเห็นว่าน้ำดี จึงตกลงย้ายจากป่าช้าบ้านไชยวาน มาที่ป่าหนองท้มในวันต่อมา
สร้างวัดป่าสันติกาวาสในครั้งแรก เมื่อหลวงปู่ย้ายจากป่าช้าบ้านไชยวานมาสร้างวัดป่าสันติกาวาสในครั้งแรกที่ป่าหนองท้ม เป็นฤดูเดือน 3 พ.ศ. 2493 ในขณะนั้นหลวงปู่มีพรรษาได้ 14 พรรษาแล้ว ได้มีลูกศิษย์ที่ติดตามมาร่วมสร้างวัดป่าสันติกาวาสด้วย คือ 1.หลวงพ่อสอน สงฺจิตโจ 2.หลวงพ่อคำสิงห์ สุจิตฺโต 3.พระโพ 4.อาจารย์กุ 5.สามเณรประดิษฐ์ 6.เด็กชายเขียน ลูกศิษย์เหล่านี้ได้ติดตามหลวงปู่นับแต่ออกจากวัดป่าศรีไพรวัลย์ จังหวัดร้อยเอ็ดมา เมื่อมาอยู่บริเวณป่าหนองท้มดงแสนแวนใหม่ๆ ได้มีศรัทธาญาติโยมจากบ้านหนองตูม คือ คุณพ่อมา สนทอง, คุณพ่อสี นันทราช, คุณพ่อโส กล้าหาญ, คุณพ่อทา บุษราคำ, คุณพ่อพิมพ์ นิรเท, คุณพ่อพรหมมา ส่วนญาติโยมจากบ้านไชยวาน มีคุณพ่อขุนไชยวานวิศิษฐ์, คุณพ่อขันตี จันทรัก, คุณพ่อพร นาคอินทร์ และตระกูลคำใสย์ คุณพ่อท่อน คำใสย์, คุณพ่ออ่อน คำใสย์, นายปรีชา คำใสย์, คุณพ่อสุจินต์ คำใสย์, คุณพ่อทหารป่า คำใสย์ ท่านที่กล่าวนามมานี้ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสร้างวัดป่าสันติกาวาสนี้
เมื่อหลวงปู่มาอยู่บริเวณหนองท้มดงแสนแวนแล้ว ได้มีผู้เป็นเจ้าของที่ดิน ได้แสดงกรรมสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่เดิน แต่ทุกคนเมื่อรู้ว่าจะสร้างวัดขึ้นในที่นี้ ต่างก็มีศรัทธาอนุโมทนาพร้อมใจกันยกที่ดินรวมทั้งหมดจำนวน 28 ไร่ ถวายให้หลวงปู่สร้างเป็นวัด ผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินคือ 1.คุณพ่อบุ่น 2.คุณพ่ออ้วน วงษ์อารีย์ 3.คุณพ่อป้อม ทับซ้าย 4.คุณพ่อตึ่ง วรยศ 5.คุณพ่อคำพัน ชานันโต
เมื่อเจ้าของที่ดินทั้ง 5 คน ยกที่ดินถวายให้มีขอบเขต 28 ไร่แล้ว หลวงปู่จึงให้ทำถนนรอบเพื่อกันไฟไม่ให้ลามไหม้เข้ามาในบริเวณวัด เพราะในสมัยนั้นมีไฟป่าลุกไหม้อยู่เรื่อยๆ แล้วจึงให้ทำที่พักของพระเณร เป็นกระท่อมมุงแฝกแอ้มฝาใบตองไว้เป็นจุดห่างกันพอสมควร ตามแบบวัดป่าพระกัมมัฏฐานสายพระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น คุณพ่อสา พรหมโคตร บ้านจำปา ได้มีศรัทธาถวายเรือน 1 หลัง ให้มาสร้างเป็นศาลาเล็กๆ สำหรับเป็นที่ฉัน ที่ประชุมทำวัตรสวดมนต์ และใช้เป็นสถานที่อบรมญาติโยมด้วย ได้มีผู้ศรัทธาทั้งหญิงทั้งชายพากันออกจากบ้านมารับการอบรมจากหลวงปู่ หลวงปู่ท่านเป็นผู้มีความเมตตา สู้อดสู้ทนแนะนำพร่ำสอนศรัทธาญาติโยม ให้รู้จักบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญเมตตาภาวนา ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์เป็นจำนวนมาก ในที่สุดป่าหนองท้มดงแสนแวนจึงกลายเป็นวัดขึ้นมาที่สุด
ในครั้งแรกชาวบ้านเรียกชื่อ "วัดป่าหนองท้ม" ตามนามหนองน้ำธรรมชาติซึ่งมีต้นท้ม (ต้นกระทุ่ม) ขึ้นอยู่ตามริมหนองน้ำนั้น (ปัจจุบันหนองท้มได้ปรับปรุงเป็นบ่อสี่เหลี่ยมตรงวิหารพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ทุกวันนี้) ครั้นต่อมาเมื่อหลวงปู่ได้ตั้งใจปักหลักอยู่ในสถานที่นี้แล้ว จึงได้ไปกราบเรียนพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ที่วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี ซึ่งในเวลานั้นท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานีฝ่ายธรรมยุต ท่านได้เมตตาออกมาเยี่ยมเยือน และได้ให้นามวัดใหม่ว่า "วัดป่าสันติกาวาส" หลวงปู่เล่าว่าเมื่อพระเดชพระคุณท่านตั้งชื่อวัดให้ไหม่แล้ว ท่านก็แปลให้ฟังด้วยว่า "สันติ" แปลว่า "สงบ" "กาวาส" แปลว่า "วาทะ" จึงแปลรวมกันว่า "ที่สงบจากวาทะ" ท่านแปลให้ฟังอย่างนั้น
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ร่วมสร้างวัดด้วย
เมื่อหลวงปู่พาญาติโยมจัดทำเสนาสนะสร้างวัดในปีแรก พอใกล้จะเข้าพรรษา ปีพ.ศ. 2493 หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ในขณะนั้นท่านเที่ยววิเวกอยู่ทางอำเภอวาริชภูมิ เมื่อทราบว่าหลวงปู่มาอยู่ที่บ้านไชยวาน ท่านจึงเดินทางมาตั้งใจว่าจะจำพรรษาด้วย พอท่านมาถึง ท่านได้ช่วยพาญาติโยมทำกุฏิทำส้วมสำหรับให้พระเณรอยู่อาศัย และท่านได้เทศน์แบบปรมัตถธรรมให้พวกโยมฟัง หลวงปู่บัวท่านเทศน์สอนว่า "ให้พิจารณาในกายเป็นของสกปรกเต็มไปด้วยขี้ กายนี้เรียกว่าก้อนขี้ ข้าวปลาอาหารที่กินเข้าไปก็เป็นขี้ เรากินขี้รู้จักไหม" เมื่อท่านเทศน์ปรมัตถธรรมอย่างนี้ พวกที่ไม่มีปัญญาจึงเกิดความรังเกียจท่าน พากันคิดประมาท เมื่อท่านรู้ด้วยธรรมในจิตของท่าน พวกโยมพากันรังเกียจประมาทท่าน ท่านจึงปรารภกับหลวงปู่ "กระผมคิดว่าจะจำพรรษาอยู่กับครูบาอาจารย์ แต่พวกโยมพากันประมาท ถ้าผมอยู่ในที่นี้เขาจะเป็นบาปกันมาก เพราะฉะนั้นกระผมจะได้ลาครูบาอาจารย์ไปจำพรรษาที่อื่น" แล้วท่านก็ได้กราบลาหลวงปู่ไปจำพรรษาทางเมืองอุดรธานี
|