พรรษาที่2 พ.ศ. 2480 จำพรรษาที่วัดป่าบ้านวังถ้ำ จ.อุบลราชธานี

พรรษาที่ 2

เมื่อจวนจะเข้าพรรรษามีโยมจากบ้านวังถ้ำมาขอพระกับท่านพระอาจารย์ใหญ่เสาร์ ให้ไปอยู่จำพรรษาที่สำนักป่าบ้านวังถ้ำ ท่านพระอาจารย์ใหญ่เสาร์จึงสั่งว่า ให้ท่านบุญไปอยู่บ้านวังถ้ำกับท่านอาจารย์คำบง และก็มีท่านอาจารย์คำ สุมงฺคโลด้วยองค์หนึ่ง สำหรับท่านอาจารย์พานนั้น ท่านอาจารย์ใหญ่เสาร์ได้จัดให้ไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านปะอาว จึงได้แยกกันกับท่านอาจารย์พาน ในพรรษานี้ได้ตั้งใจประกอบความเพียรด้วยความไม่ประมาท ได้ไปรับการอบรมฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์ใหญ่เสาร์ที่วัดป่าบ้านข่าโคมอยู่เนืองนิจ ซึ่งมีพระอาจารย์บัวพา ปญฺญาภาโส เป็นผู้อุปัฏฐากท่านอาจารย์เสาร์


พระอาจารย์บัวพา ปญฺญาภาโส

ในขณะนั้นจิตได้รับความสงบเยือกเย็น แต่การมีปัญญารู้เห็นอย่างอื่นยังไม่มี อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่เดินจงกรมทำความเพียรอยู่แต่หัวค่ำ เดินไปมาจิตรวมลงเป็นหนึ่ง เกิดแสงสว่างขึ้นสว่างไสว ในขณะจิตนั้นจึงนึกขึ้นว่านี้แสงอะไร แสงสว่างนั้นจึงหายไป ในขณะนั้นจิตก็ยังสงบอยู่ และเดินจงกรมต่อไป

 

ทดสอบความจริง

ชาวบ้านวังถ้ำเขาลือกันว่าในป่าช้ามีผีตายทั้งกลมดุมาก เวลากลางคืนจะดันดินกลบหลุมฝังศพขึ้นมา อยู่ต่อมาท่านอาจารย์คำบงได้พาไปเยี่ยมป่าช้า (ไปภาวนาในป่าช้า) ในเวลากลางคืนวันนั้นเดือนแจ้งสว่าง หลวงปู่บอกว่า "เราต้องการจะทดสอบความจริงตามที่เขาเล่าลือกัน จึงเลือกเอาที่หลุมฝังศพผีทั้งกลมนั้นเป็นที่นั่งภาวนา เอาผ้าปูลงบนเนินดินที่เขากลบศพไว้นั่นเอง ตั้งจิตอธิษฐานบูชาต่อพระรัตนตรัย ถ้ามีอะไรถ้าผีมันดุเหมือนเขาลือกันให้มันดันก้นที่นั่งภาวนาอยู่นี้ขึ้นมาเลยจะได้พูดคุยกัน" ในที่สุดไม่มีอะไร นั่งภาวนาไปจนถึงเวลา 6 ทุ่ม ท่านอาจารย์คำบงจึงได้พากลับวัด

 

ไปอย่างมีครู อยู่อย่างมีอาจารย์

ครั้นอยู่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านวังถ้ำครบไตรมาส 3 เดือน แล้วจึงได้ปวารณาออกพรรษา ครั้นออกพรรษาแล้วได้มีการทอดกฐินและกรานกฐิน ท่านอาจารย์ใหญ่เสาร์ได้มาเป็นประธานในงานนี้ด้วย ต่อมาที่วัดป่าบ้านข่าโคมซึ่งเป็นที่ท่านอาจารย์ใหญ่เสาร์จำพรรษา ได้มีศรัทธาชาววังจากกรุงเทพมหานคร นำผ้ากฐินและผ้าบังสุกุล จำนวน 70 ไตร มาทอดถวาย ครูบาอาจารย์พระเณรที่อยู่ในละแวะนั้นได้มาร่วมช่วยกันตัดเย็บผ้ากฐิน ในจำนวนพระ 70 รูปที่จะรับผ้าไตรบังสุกุล 70 ไตรนั้น ท่านอาจารย์ใหญ่เสาร์จึงได้สั่งว่า "ให้ท่านบุญด้วยองค์หนึ่งเป็นผู้ชักผ้าบังสุกุล" (พระอาจารย์ใหญ่เสาร์มักเรียกหลวงปู่ว่า "บุญ") เมื่อครูบาอาจารย์สั่งอย่างไรจึงได้ทำอย่างนั้น เมื่อศรัทธาญาติโยมทอดผ้ากฐินบังสุกุลเสร็จแล้ว ญาติโยมชาววังจึงขอนิมนต์ให้ท่านพระอาจารย์ใหญ่เสาร์แสดงธรรมให้ฟัง เมื่อท่านขึ้นไปนั่งบนธรรมาสน์ พระภิกษุสามเณรและญาติโยมต่างก็ตั้งอยู่ในความสงบคอยสดับรับฟังธรรม ท่านพระอาจารย์ใหญ่เสาร์เริ่มแสดงธรรม ท่านตั้งนะโม 3 จบ เสร็จแล้วท่านก็ว่า "ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้" จบแล้วท่านก็ลงจากธรรมาสน์ ท่านเป็นผู้มีนิสัยพูดน้อยและเยือกเย็น

เมื่อเสร็จกิจของสงฆ์ในเรื่องกฐินแล้ว ท่านพระอาจารย์ใหญ่เสาร์จึงได้สั่งว่า "ให้ท่านบุญไปอยู่เป็นเพื่อนท่านอาจารย์อาดที่วัดสำราญ อำเภอวารินชำราบ" จึงได้ไปตามคำสั่งของครูบาอาจารย์ เมื่อไปอยู่วัดสำราญกับท่านอาจารย์อาดก็ได้ตั้งใจประกอบความพากเพียรไม่ประมาท ทำอาจาริยวัตร กิจวัตรข้อวัตรกับครูบาอาจารย์ด้วยความเอาใจใส่ การประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ว่าภายนอกภายใน เราเป็นผู้ทำเองคนอื่นทำให้เราไม่ได้

 

ได้กราบนมัสการสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)


สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)

หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ในระยะที่อยู่กับท่านอาจารย์อาดที่วัดสำราญนี้ สมเด็จท่านได้ออกตรวจการคณะสงฆ์ มณฑลอุบลราชธานี อยู่มาวันหนึ่งท่านได้เข้ามาที่วัดสำราญโดยไม่ได้บอกให้ทราบล่วงหน้า พอเข้ามาถึงวัดท่านจะเดินรอบวัดเลย ดูว่าพระเณรในวัดจะมีข้อวัตรปฏิบัติหรือไม่ พอเห็นท่านมาอย่างนั้นจึงได้เตรียมต้อนรับท่านที่กุฏิเจ้าอาวาส ซึ่งกุฏหลังนั้นพวกคณะทหารที่อุบลราชธานีเป็นผู้สร้างถวาย เขาเอาเขากวาง เขากระทิงมาติดไว้ที่กุฏิ ท่านจึงถามว่า "เอามาไว้ทำไมของพวกนี้ เดี๋ยวเขาจะมาตีหัวมันนะ กัมมัฏฐาน" ท่านอาจารย์อาดจึงกราบเรียนท่านว่า "เป็นของพวกทหารเขาเอามาประดับกุฏิของเขาเกล้ากระผม" ท่านจึงเงียบไป พอท่านนั่งบนอาสนะที่จัดถวายแล้ว ท่านอาจารย์อาดจึงพากราบนมัสการท่าน เสร็จแล้วท่านจึงถามว่า "ท่านองค์นี้มาจากไหน" หลวงปู่จึงประนมมือแล้วกล่าวคำว่า "ขอโอกาส" ตามแบบพระกัมมัฏฐาน สมเด็จท่านจึงพูดขึ้นว่า "ลูกศิษย์ท่านสิงห์มันเล่นแต่ขอโอกาสกันส่วนมาก" หลวงปู่หยุดพูด สมเด็จจึงบอก "พูดไปสิ" หลวงปู่กราบเรียนว่า "เกล้ากระผมมาจากจังหวัดร้อยเอ็ด" เมื่อท่านทักทายปราศรัยพอสมควรแล้วท่านจึงได้ลาจากไป

 

เป็นห่วงในการจะทำบุญอุทิศให้โยมมารดา

หลวงปู่ได้อยู่กับท่านอาจารย์อาดก็เป็นเวลาน้อย เพราะจวนจะกลับบ้านเกิดมาทำบุญอุทิศถึงโยมมารดาที่ได้ล่วงลับไปแล้ว จึงได้ปรารภให้ท่านอาจารย์อาดทราบ ท่านก็ไม่ขัดข้อง ต่อมาจึงได้จัดเตรียมบริขาร กล่าวมอบเสนาสนะแล้วกราบคารวะลาท่านอาจารย์อาด เดินทางจากวัดสำราญ อำเภอวารินชำราบ เข้ามาพักที่วัดเลียบ ในเมืองอุบลราชธานี พอดีท่านพระอาจารย์ใหญ่เสาร์ก็ได้มาพักที่นั้นด้วยพอดี จึงได้เข้ากราบนมัสการกราบเรียนให้ท่านทราบถึงการที่จะกลับร้อยเอ็ด เพื่อทำบุญอุทิศให้โยมมารดา ท่านก็อนุญาตและท่านได้เตือนสติว่า "ให้ตั้งใจให้ดีอย่าประมาท" พอท่านเตือนสติเท่านั้น เกิดปิติเป็นอย่างยิ่งในคำเตือนของท่าน น้อมรับโอวาทธรรมนำมาปฏิบัติตั้งอยู่ในความไม่ประมาทตลอดมา

ได้พักอยู่วัดเลียบไม่นาน เมื่อได้กราบนมัสการลาท่านพระอาจารย์ใหญ่เสาร์และท่านอนุญาต ทำการคารวะขอขมาโทษท่านตามธรรมเนียมของพระกัมมัฏฐานในสมัยนั้นเสร็จตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว พอตอนเช้าบิณฑบาตตามสมณวิสัยมา ฉันเสร็จแล้วจึงเตรียมบริขาร มอบเสนาสนะแก่พระในวัดแล้ว ออกเดินทางจากวัดเลียบลำพังองค์เดียว เมื่อมาถึงบ้านปะอาวได้แวะพักที่วัดป่าบ้านปะอาว เพื่อกราบลาพระอาจารย์พาน ได้กราบเรียนให้ท่านทราบถึงการจะกลับไปทำบุยอุทิศถึงโยมมารดา ท่านก็อนุญาต จากนั้นจึงได้ออกเดินทางจาดวัดป่าบ้านปะอาว โดยมีพระสมเป็นเพื่อนเดินทางด้วยมุ่งหน้าสู่พนมไพร

 

ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาดหมาย

เดินทางด้วยเท้ารอนแรมมาเรื่อยๆ พักระหว่างทางมาตามสบายไม่รีบร้อน ในใจจดจ่อในเรื่องทำบุญอุทิศให้โยมมารดา เพราะได้นัดหมายไว้กับโยมพี่ชายว่าเดือน 4 จะกลับมาทำบุญอุทิศให้แม่โดยพร้อมเพรียงกัน ในที่สุดการเดินทางจากอุบลราชธานี ก็ได้บรรลุถึงบ้านคำพระ (กุดโอ) อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านเกิดในระยะเดือน 4 พอดี แต่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาดหมายและนัดหมายไว้ เมื่อมาถึงบ้านแล้วไม่พบพี่น้องสักคนเลย บ้านที่เขาเคยอยู่ก็ไม่มี เหลือแต่เป็นสวนหม่อน สวนกล้วย "อนิจจาเอ๋ยทุกสิ่งก็ไม่ได้ทำ" หลวงปู่รำพึงในใจ เมื่อถามชาวบ้านเขาจึงได้ความว่า พี่สาวพี่ชายได้อพยพหนีขึ้นไปอยู่บ้านไชยวาน อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เมื่อไม่ได้ทำบุญอุทิศให้โยมมารดาตามที่ได้นัดหมายกับพี่ชายไว้แล้ว จึงออกเดินทางจากบ้านคำพระต่อไปที่อำเภอพนมไพร เข้าจังหวัดร้อยเอ็ด เดินทางต่อไปที่กิ่งไผ่ (อำเภอบ้านไผ่) ขึ้นรถไฟที่สถานีกิ่งไผ่ไปลงที่สถานีจังหวัดอุดรธานี

 

ที่วัดป่าโนนนิเวศ


พระอาจารย์ภูมี ฐิตธมฺโม

เมื่อลงจากรถไฟแล้วได้เดินทางต่อไปที่วัดป่าโนนนิเวศ หลวงปู่เล่าว่าวัดป่าโนนนิเวศอยู่ติดกับป่าช้าเมืองอุดรธานี สมัยนั้นเป็นป่าดงมีต้นไม้ใหญ่ๆ และอยู่ห่างจากเมืองอุดร พอเวลาเย็นลงแล้วไม่มีใครอยากผ่านเพราะกลัวผี ในเวลานั้นท่านพระอาจารย์ภูมี ฐิตธมฺโม เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในที่นั้น เมื่อหลวงปู่เดินทางไปถึงวัดป่าโนนนิเวศได้ปฏิบัติตามอาคันตุกวัตร เข้ากราบท่านพระอาจารย์ภูมี ฐิตธมฺโม ถวายตัวเป็นศิษย์และขอนิสัยจากท่าน ท่านจัดให้พักที่กุฏเล็กๆหลังหนึ่ง ในขณะที่พักอยู่กับท่านพระอาจารย์ภูมีนั้น ได้ตั้งใจปฏิบัติเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา และทำอาจาริยวัตรด้วยความเคารพไม่ให้ขาด

 

พระอาจารย์ภูมีทดสอบครั้งที่ 1 เรื่องความตั้งใจ

หลวงปู่เล่าว่า "ขณะที่เราเป็นพระพรรษายังอ่อน ถูกครูบาอาจารย์ทดสอบอยู่บ่อยๆ" ในขณะที่พักอยู่กับท่านพระอาจารย์ภูมีนั้น ในตอนเย็นก็ทำข้อวัตรตักน้ำใส่ตุ่มในห้องน้ำของท่าน เสร็จแล้วพอค่ำก็เดินจงกรม เมื่อเดินจงกรมเสร็จแล้วขึ้นกุฏิทำวัตรสวดมนต์ จบแล้วเข้าที่นั่งสมาธิภาวนาพิจารณาความตายเป็นอารมณ์ เมื่อหยุดจากนั่งสมาธิภาวนาแล้วก็จำวัดนอนภาวนาตั้งสติไว้ เมื่อรู้สึกตัวก็ลุกขึ้น ในขณะนั้นเป็นเวลาประมาณตี 1 ท่านพระอาจารย์ภูมีมาเรียกว่า "บุญ" พอได้ยินเสียงท่านเรียกคำเดียว จึงตอบท่านว่า "กระผม" พอท่านได้ยินเสียงตอบรับแล้ว ท่านก็ตอบใหญ่เลยว่า "ทำไมไม่รู้จักเอาน้ำใส่ตุ่มใส่โอ่งในห้องน้ำ หาน้ำจะล้างส้วมก็ไม่มี" พอได้ยินท่านว่าอย่างนี้จึงนึกอยู่ในใจว่า "น้ำเราก็ตักใส่ตุ่มใส่โอ่งไว้เต็มแล้ว ทำไมครูบาอาจารย์จึงว่าไม่มีน้ำ" ในขณะจิตหนึ่งจึงนึกขึ้นว่า "หรือว่าท่านจะทดลองเรา" แล้วหลวงปู่รีบลงจากกุฏิไปดูที่ห้องน้ำ ในตุ่มไม่มีน้ำเลย หลวงปู่บอกว่าน้ำที่ตักใส่ตุ่มไว้แต่ตอนเย็นนั้นทั้งอาบทั้งใช้ก็ไม่หมดเพราะห้องน้ำนั้นเป็นห้องน้ำเฉพาะท่านอาจารย์ใช้องค์เดียว เมื่อดูว่าน้ำไม่มีแล้ว จึงถือเอาครุไปตักน้ำในบ่อสระ เดินฝ่าความมืดเพราะสมัยนั้นไฟฟ้ายังไม่มี นำน้ำมากรองใส่ตุ่มในห้องน้ำจนเต็ม แล้วท่านให้นวดเส้นไปจนถึงตี 4 ท่านจึงบอกให้กลับกุฏิ พอกลับถึงกุฏิแล้วไหว้พระทำวัตรเช้าเสร็จแล้ว ถือห่อผ้าครองลงจากกุฏิเข้าทางเดินจงกรมไปจนสว่าง "ในขณะจิตนั้นมีความเอิบอิ่มในจิตใจ ไม่มีความโกรธความเคืองใจในครูบาอาจารย์ที่ท่านทดสอบเราเลย"

 

พระอาจารย์ภูมีทดสอบครั้งที่ 2 เรื่องความอดทน

หลวงปู่เล่าว่า อยู่ต่อมาท่านทดสอบอีก ในวันนั้นมีโยมนำใบพลูสำหรับฉันหมากมาถวายท่านอาจารย์ 1 ชบ ท่านให้โยมเอาตั้งไว้ที่ระเบียงกุฏิท่าน พอถึงเวลาเย็นทำอาจาริยวัตรสรงน้ำท่านเสร็จแล้ว ท่านอาจารย์จึงพูดว่า "คืนนี้ให้ท่านบุญมาเฝ้าใบพลูที่โยมเขาเอาถวายนี้ที่ระเบียงกุฏิ" หลวงปู่เล่าว่า พอได้ยินท่านอาจารย์บอกอย่างนั้นก้นึกขึ้นในใจอีกว่า "ประสาพลูแค่นี้ก็จะให้มาเฝ้า" แต่แล้วในขณะจิตหนึ่งจึงนึกขึ้นว่า ท่านคงจะทดสอบเราอีก เมื่อกลับถึงกุฏิตัวเองสรงน้ำเสร็จแล้วได้ห่อผ้าครองแล้วกลับมานั่งภาวนาเฝ้าใบพลูที่ระเบียงกุฏิท่านอาจารย์ ยุงก็มาก อาศัยความอดทนและความเพียรนั่งภาวนาเฝ้าใบพลูสู้กับยุงไป จนถึงเวลาดึกสงัดได้ยินเสียงท่านอาจารย์เปิดประตูออกมาดู เห็นเรานั่งอยู่ท่านจึงพูดขึ้นว่า "โอ้ ยังอยู่หรือนึกว่าหนีไปแล้ว" ท่านจึงเรียกเข้าไปในกุฏิแล้วให้นวดเส้นจนใกล้สว่างท่านจึงให้หยุด เมื่อลงจากกุฏิท่านอาจารย์แล้วกลับไปกุฏตัวเองเข้าทางเดินจงกรมต่อไปจนสว่าง

 

พระอาจารย์ภูมีทดสอบครั้งที่ 3 เรื่องความสำรวม

ต่อมาท่านพระอาจารย์ภูมีทดสอบอีก ในวันนั้นเมื่อฉันจังหันเช้าเสร็จแล้ว ท่านอาจารย์บอกว่า "ให้ท่านบุญไปบอกนางมทีมาหาด้วย" นางมทีเป็นหลานสาวของท่านอยู่บ้านไก่เถื่อนซึ่งห่างจากวัดป่าโนนนิเวศพอประมาณ หลวงปู่เล่าว่า พอท่านอาจารย์บอกแล้วก็คลุมจีวรเสร็จเรียบร้อยจึงเรียกเด็กวัดชื่อนายสำรวยว่า "สำรวยๆ ไปเป็นเพื่อนครูบาด้วย" พอท่านอาจารย์ได้ยิน ท่านจึงดุเอาว่า "ไปคนเดียวไม่ได้หรือ" แล้วท่านก็ไม่ให้นายสำรวยไปด้วย หลวงปู่จึงเดินทางออกจากวัดป่าโนนนิเวศไปบ้านไก่เถื่อนเพียงองค์เดียว เดินไปในใจคิดว่าครูบาอาจารย์คงจะทดสอบเราอีก จึงตั้งสติสำรวมจิตไว้ให้ดี พอไปถึงบ้านหลานสาวท่านอาจารย์เห็นสาวมทีกำลังขึ้นตักข้าวเปลือกอยู่บนเล้า (ยุ้งข้าว) จึงเดินเข้าไปใกล้พอพูดได้ยินแล้วบอกว่า "มที ท่านอาจารย์ภูมีสั่งให้เจ้าไปหาท่านด้วยวันนี้" เมื่อบอกแล้ว หลวงปู่ก็เดินกลับวัด ไม่นานสาวมทีก็มาหาท่านอาจารย์ หลวงปู่บอกว่า ในขณะนั้นเราก็นั่งอยู่เป็นเพื่อนท่านอาจารย์ คิดว่าท่านจะมีเรื่องราวอะไรจึงให้ไปเรียกหลานสาวมา พอเขามาถึงแล้วก็ไม่มีอะไร ท่านถามว่าเป็นอย่างไรไร่นาสู ถามเรื่องไร่นาเท่านั้นก็บอกให้กลับ พอสาวมทีเดินลงจากกุฏิท่านไป ท่านจึงพูดว่า "บุญๆ เบิ่งอีมทีมันย่างเอกเอ้น เอกเอ้นไป" (ดูนางมทีเดินอุ้งอุ้ย อุ้งอุ้ย) หลวงปู่เล่าว่าท่านนั่งสำรวมอยู่ ตาไม่ได้มองไปตามที่ท่านอาจารย์บอก สติก็กำหนดรู้อยู่ที่จิตของตัวเอง ในใจรู้อยู่ว่าครูบาอาจารย์ทดสอบ

 

พระอาจารย์ภูมีทดสอบครั้งที่ 4 เรื่องอาหาร

หลวงปู่เล่าว่า ต่อมาท่านทดสอบเรื่องอาหารอีก มีคหบดีในเมืองอุดรเสียชีวิต ลูกหลานตั้งศพไว้หลายวัน ในวันหนึ่งเขาได้มานิมนต์ท่านอาจารย์กับพระในวัดไปฉันเช้าหน้าศพ ท่านอาจารย์จึงสั่ง "ให้ท่านบุญไปด้วยองค์หนึ่ง" พอไปถึงบ้านเจ้าภาพงานแล้วแทนที่ท่านจะให้นั่งตามลำดับพรรษา ท่านกลับบอก "ให้ท่านบุญมานั่งทางนี้" ท่านให้มานั่งอยู่ทางขวามือท่านองค์เดียว พอเจ้าภาพถวายอาหารอันไหนเป็นอาหารประณีตท่านจะส่งไปทางพระที่นั่งเป็นแถวอยู่ พออันเป็นผักเป็นน้ำพริกท่านจะส่งมาให้ "อันนี้ให้ท่านบุญ" เราก็ยินดีไม่ได้น้อยใจในครูบาอาจารย์ กลับดีใจว่าครูบอาจารย์ท่านทดสอบเรา ฝึกเรา การอยู่กับครูบาอาจารย์จึงเป็นผลดี เพราะท่านเป็นครูฝึกเราให้มีความเข้มแข็งในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเห็นในธรรม

เมื่อพักอบรมอยู่กับท่านพระอาจารย์ภูมีชั่วระยะเวลาไม่นาน จึงได้กราบลาท่านเดินทางกลับไปพนมไพรเพื่อคัดเลือกทหาร ในวันจะกลับนั้นท่านสั่งให้โยมเตรียมอาหารให้ฉันแต่เช้าเพราะต้องรีบไปให้ทันรถไฟ เมื่อฉันเสร็จท่านจึงสั่งให้สามล้อไปส่งที่สถานีรถไฟอุดรพร้อมตีตั๋วรถไฟให้ด้วย ไปลงที่กิ่งไผ่ (อำเภอบ้านไผ่) เมื่อรถไฟถึงบ้านไผ่แล้วลงจากรถไฟแวะพักที่วัดป่าสุมนามัย วันหลังออกเดินทางด้วยเท้าไปจังหวัดร้อยเอ็ดทะลุถึงอำเภอพนมไพร

พักที่วัดป่าโนนช้างเผือกอีกระยะหนึ่งเพื่อรอการคัดเลือกทหาร ในขณะที่พักอยู่นั้นได้มีท่านนายอำเภอขุนประชาธรรมรักษ์ และคุณนายลิ้นจี่ สองสามีภรรยา ท่านเป็นผู้ใจบุญได้อุปถัมภ์บำรุงด้วยการถวายอาหารบิณฑบาต เมื่อถึงวันพระ ท่านก็ได้มาสมาทานรักษาอุโบสถศีล ฝึกเดินจงกรมและนั่งสมาธิภาวนาด้วย นับว่าท่านทั้งสองนี้เป็นผู้มีอุปการะคุณต่อหลวงปู่เป็นอย่างมาก ก่อนจะคัดเลือกทหาร ท่านขุนประชาธรรมรักษ์ได้ถามหลวงปู่ว่า "ท่านอยากเป็นทหารไหม" หลวงปู่ตอบว่า "อาตมาอยากเป็นพระ จะได้ปฏิบัติเชิดชูพระพุทธศาสนา" ท่านขุนบอกว่า "ผมจะช่วยยกเว้นให้" เมื่อเสร็จภาระในการคัดเลือกทหารแล้ว จึงได้อำลาท่านนายอำเภอและคุณนายเดินทางต่อเข้ามาทางจังหวัดร้อยเอ็ด แวะพักที่วัดป่าศรีไพรวัลย์

 

พบพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ


พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ

ในขณะนั้นท่านพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ ได้มาพักที่วัดป่าศรีไพรวัลย์ ท่านได้เป็นประธานสงฆ์ รองลงมาได้แก่ ท่านพระอาจารย์อินทร์ พระอาจารย์นิล และท่านพระอาจารย์เพ็ง ในระยะนั้นเมื่อหลวงปู่กลับจากการคัดเลือกทหารมาพักที่วัดป่าศรีไพรวัลย์ จึงได้ขอนิสัยจากท่านพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่เล่าว่า ในระยะนั้นได้เร่งทำความพากเพียร ไม่ประมาท เวลากลางวันเข้าไปนั่งภาวนาในดงไม้ลำดวน ยุงก้นปล่องก็ชุม นุ่งผ้าอาบน้ำใส่แต่อังสะ นั่งภาวนาอธิษฐานจิต ยุงกัดไม่ไล่ ปล่อยให้ยุงกิน ทานเลือดให้ยุง ในเบื้องต้นยุงกัดก็รู้สึกเจ็บ เอาขันติความอดทนตั้งเข้าไว้ ใช้ปัญญาพิจารณา กายก็ต่างหาก ยุงก็ต่างหาก ไม่ใช่ของเรา ความเจ็บความแสบร้อนก็ไม่ใช่ของเรา เจ็บปวดขนาดนี้ไม่เป็นไร ตกนรกยิ่งทรมานกว่านี้ เมื่อพิจารณาตั้งสติอยู่ไม่ให้คลาดเคลื่อน ในที่สุดจิตก็รวมลงเป็นสมาธิ วางความเจ็บความปวดทั้งหมด เหลือแต่ความสุขหาสิ่งเปรียบไม่ได้ เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิปรากฏว่า ยุงที่กินเลือดแล้ว เลือดไหลออกจากก้นยุงหยุดย้อยลงรอบที่นั่งของท่าน ทำอยู่อย่างนั้นหลายวัน

ในวันหนึ่งขณะที่จิตสงบลง เกิดนิมิตปรากฏเห็นกลดผุดขึ้นมา แล้วมีพระเถระองค์หนึ่งหัวล้านแดงนั่งอยู่ พอดีในขณะนั้นพังพอนวิ่งไล่กันมาเสียงดังจิ๊กแจ๊กใกล้ๆที่นั่งภาวนา จิตจึงถอนออกจากสมาธิ พอตอนเย็นทำอาจาริยวัตรสรงน้ำท่านพระอาจารย์อ่อนเสร็จแล้ว จึงขอโอกาสกราบเรียนเรื่องภาวนาถวายท่าน กราบเรียนท่านไปตามตรง ลืมนึกถึงว่าท่านเป็นคนหัวล้าน เมื่อท่านได้ฟังก็ยิ่มๆ และท่านได้แนะอุบายให้ว่า "อย่าปล่อยให้ยุงกัดเพราะยุงมีเชื้อมาลาเรียจะทำให้เราลำบากทีหลัง ให้ใช้มุ้งกลดกางเสียก่อนจึงนั่งภาวนา" เมื่อได้รับคำเตือนจากท่านครูบาอาจารย์อย่างนั้น หลวงปู่ได้เร่งภาวนาในอิริยาบถทั้งสี่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ด้วยความไม่ประมาท

 

ทำอาจาริยวัตรด้วยความเคารพ

หลวงปู่บอกว่า ในระยะนั้นได้ตั้งใจปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ ในตอนเย็นเมื่อถวายการสรงน้ำครูบาอาจารย์เสร็จแล้ว ตัวเองสรงน้ำเสร็จ เข้าสู่ทางเดินจงกรมจนถึงเวลา 2 ทุ่ม ขึ้นไปรวมกันที่ศาลาทำวัตรสวดมนต์ รับการอบรมจากท่านพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ ไปจนถึงเวลาเที่ยงคืน ท่านจึงพาเลิกประชุม เมื่อเลิกแล้วก็ตามไปส่งย่าม เทกระโถน ถวายนวดท่านเป็นประจำ ในวันหนึ่งไม่ทราบว่าท่านจะทดลองหรืออย่างไร เมื่อถวายนวดไป ท่านไม่ยอมบอกให้หยุด ท่านนอนเงียบเหมือนหลับ พระที่ถวายนวดอยู่ด้วยกันก็ทยอยกลับกุฏิกันไปหมด เหลือแต่หลวงปู่นวดอยู่องค์เดียว ในใจก็คิดว่า ถ้าครูบาอาจารย์ไม่บอกให้หยุดก็จะไม่กลับกุฏิ

หลวงปู่เล่าว่าท่านพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ ท่านมีลักษณะล่ำสัน เนื้อแน่น ถวายนวดท่านต้องใช้ศอกนวดลงตามเส้น เท้าก็ยันฝากุฏิช่วย ถึงขนาดนั้นท่านยังบอกว่าไม่ถึงเส้น ในวันนั้นหลวงปู่ถวายนวดท่านอยู่องค์เดียวจนได้ยินเสียงไก่ขันกก เป็นเวลาประมาณตีสามครึ่ง ท่านจึงลืมตาขึ้นพร้อมกับพูดว่า "ยังอยู่หรือ เอาละกลับกุฏิเสีย" เมื่อท่านบอกอย่างนั้น หลวงปู่จึงหยุดนวดและประนมมือยกขึ้นใส่หัว กราบท่านแล้วลุกออกจากห้อง ปิดประตูให้ท่านแล้วเดินกลับกุฏิ เห็นว่าใกล้จะสว่างแล้วจึงขึ้นไปเอาผ้าครองบนกุฏิ กลับลงมาเข้าทางเดินจงกรมจนสว่าง หลวงปู่บอกว่า ทำอะไรก็ควรทำอย่างจริงจังด้วยความเคารพ หลวงปู่พักอยู่วัดป่าศรีไพรวัลย์จนกระทั่งจวนจะเข้าพรรษา พระอาจารย์อินทร์จึงจัดให้ไปจำพรรษาเป็นเพื่อนท่านพระอาจารย์สวด เขมิโย ที่วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนนเมือง

ย้อนกลับ ต่อไป