สังขารแสดงถึงความชัดเจนแห่งการทรงอยู่ไม่ได้

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2538 หลวงปู่เริ่มมีอาการบวมที่ขาทั้ง 2 ข้างจนเห็นได้ชัด คณะแพทย์จึงได้ขออนุญาตนำเลือดและปัสสาวะไปตรวจ แต่ก็ยังไม่รู้ชัดเจนว่าหลวงปู่เป็นโรคอะไร อาการเหนื่อยและอ่อนเพลียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

วันที่ 13 เมษายน ซึ่งเป็นวันสงกรานต์และหยุดราชการ ลูกศิษย์จากที่ต่างๆได้มารวมกันทำบุญที่วัด และที่มาค้างคืนปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดก็มี

วันที่ 14 เมษายน 2538 เป็นวันสุดท้ายที่หลวงปู่ลงแสดงธรรมแก่ศิษยานุศิษย์ที่ศาลาการเปรียญ วันนั้นเป็นวันพระ 15 ค่ำ เวลา 20.00 น. คณะศิษยานุศิษย์ที่มาปฏิบัติธรรมได้ลงรวมกันที่ศาลาการเปรียญ หลวงปู่ผู้มีเมตตาได้พยายามฝืนสังขารของท่านที่กำลังถูกคุมคามอยู่ด้วยอาพาธเจ็บป่วย ลงสู่ที่ประชุมของศิษยานุศิษย์ แล้วได้นำไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วได้ให้โอวาทธรรมเตือนศิษยานุศิษย์ "ให้ตั้งอยู่ไม่ประมาท เพราะความเกิดความตายเป็นของคู่กัน" แล้วหลวงปู่จึงนำนั่งสมาธิภาวนาถึงเวลาพอสมควรแล้วจึงได้เลิกประชุม นับแต่วันนั้นมา หลวงปู่ไม่ได้ลงที่ศาลาการเปรียญอีกเลย หลวงปู่ได้พักประจำที่วิหารกลางน้ำตลอดมา ตอนเช้าหลวงปู่ให้ตั้งบาตรต่อหน้าท่านในวิหารกลางน้ำ คณะศิษย์ไปใส่บาตรและถวายภัตตาหารเฉพาะหลวงปู่ในวิหารกลางน้ำ และมีพระคอยอุปัฏฐากหลวงปู่อยู่ 1 รูป เวลาฉัน ท่านก็ยังฉันในบาตรอยู่ ไม่ทิ้งลายของพระกัมมัฏฐาน

 

คณะศิษย์ต่างมีความเป็นห่วง

ข่าวการอาพาธของหลวงปู่ได้แพร่กระจายไป ศิษยานุศิษย์ต่างมาเยี่ยมเยียนหลวงปู่มิได้ขาดแต่ละวัน แต่ละคนมาก็มีหยูกยาติดไม้ติดมือมา ทั้งสมุนไพรและยาแผนปัจจุบัน ท่านเมตตารับไว้และฉันให้บ้างพอให้ดีใจ เมื่อมีผู้กราบเรียนถามท่านว่า "หลวงปู่ป่วยคราวนี้จะหายไหม" หลวงปู่ก็บอกว่า "หาย" ปกติหลวงปู่เป็นผู้มีนิสัยไม่ชอบให้คนแตกตื่นและตกใจ

 

ทอดอาลัยในสังขาร

ผู้เขียนเห็นการอาพาธของหลวงปู่ในครั้งนี้ เกิดความไม่แน่ใจในการที่จะรั้งสังขารของหลวงปู่ไว้ได้ จึงกราบเรียนท่านว่า "ถ้าหากมีลูกศิษย์หรือคณะแพทย์ขอกราบอาราธนาหลวงปู่ไปพักรักษาในโรงพยาบาล หลวงปู่จะว่าอย่างไร เกล้ากระผม" ท่านตอบว่า "เราทุกข์มาหลายครั้งหลายหนแล้วเว้ย ทีนี้เราไม่เอาอีกแล้ว" เมื่อผู้เขียนได้ฟังท่านพูดอย่างนั้น จึงมีความแน่ใจว่า ในคราวนี้หลวงปู่จะทิ้งขันธ์อย่างแน่นอน จากนั้นจึงได้เตรียมจิตใจและเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้ การถวายหยูกยาและการตรวจอะไรก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของท่าน ถ้าท่านว่าหยุดแล้วก็ไม่รบกวนท่าน

 

คณะแพทย์กราบนิมนต์ให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์

เพื่อความแน่ใจว่าหลวงปู่อาพาธด้วยโรคอะไรแน่ คณะแพทย์จากโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จึงกราบนิมนต์ให้หลวงปู่ไปตรวจที่โรงพยาบาล หลวงปู่ย้อนถามว่า "จะให้นอนที่โรงพยาบาลไหม ถ้าให้นอนโรงพยาบาลจะไม่ไป ถ้าตรวจรู้ว่าเป็นอะไรแล้วให้กลับวัดก็จะไปให้" คณะแพทย์ยอมรับว่าไม่ให้นอนโรงพยาบาล หลวงปู่จึงตกลงไป เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2538 รถรับหลวงปู่ออกจากวัดแต่เช้ามืด คณะแพทย์นิมนต์ให้ไปตรวจเจาะเลือดก่อน แล้วจึงถวายบิณฑบาตที่โรงพยาบาล เสร็จแล้วจัดให้หลวงปู่พักคอยที่ห้องพิเศษจนถึงตอนบ่ายหมอได้นำผลวิจัยมากราบเรียนให้ทราบว่า ท่านอาพาธด้วยโรคไตรั่ว โรคนี้รักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่รักษาชลอไว้ได้ คณะแพทย์จึงกราบขอนิมนต์ให้พักรักษาที่โรงพยาบาล แต่หลวงปู่ไม่ยอมรับ ทุกคนผิดหวังที่จะรั้งสังขารหลวงปู่ให้อยู่ต่อไปนานๆ ถึงเวลา 4 โมงเย็น จึงได้รับหลวงปู่กลับวัด หลวงปู่พักจำวัดที่วิหารกลางน้ำ อาการหลวงปู่ทรุดลงอ่อนเพลียจนไม่อยากฉันอาหารเลย อาการบวมเพิ่มมากขึ้น


ภาพสุดท้ายของหลวงปู่ ถ่ายเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2538
จะสังเกตเห็นอาการบวมทั้งตัวโดยเฉพาะที่เท้า

วันที่ 2 พฤษภาคม หมอได้ถวายการรักษาหลวงปู่ด้วยการถวายยารักษาไต หลังจากฉันยาได้ 3-4 วัน หลวงปู่มีอาการดีขึ้น ฉันอาหารได้มากขึ้น พูดมีเสียงชัดเจน

วันที่ 7 พฤษภาคม คณะนักศึกษาแพทย์จากชมรมพุทธศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช ได้มากราบเยี่ยมหลวงปู่ หลวงปู่ได้เมตตาให้ธรรมะเป็นกัณฑ์สุดท้าย (กัณฑ์ปัจฉิมเทศนา) เป็นเวลานานพอสมควร ท่านเตือนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ต้นตอของธรรมอยู่ที่ใจ

 

สั่งให้พระทำกลดใหญ่

ในระยะที่หลวงปู่มีอาการดีขึ้น ตอนเช้าหลังจากฉันเช้าเสร็จ ท่านสั่งให้เอารถเข็นท่านลงมาพักตามร่มไม้ ในปีนั้นไม้ไผ่หนาม (ชาวบ้านเรียกว่า ไม้ไผ่ป่า) ได้ออกดอกเป็นขุยตาย ไม้ไผ่ที่หลวงปู่ให้นำมาปลูกเป็นรั้ววัดในคราวที่ท่านมาสร้างวัดใหม่ๆ (พ.ศ. 2493) ก็ตายทั้งหมด ท่านจึงสั่งให้พระเณรญาติโยมมาช่วยกันตัดทำความสะอาดออกให้หมด และท่านได้กำชับว่า "ให้ทำให้เสร็จก่อนเข้าพรรษาด้วย" และท่านได้สั่งให้พระที่มีฝีมือในการทำกลด นำเอาริ้วกลด ยาว 3 เมตร ที่ท่านเหลาไว้ตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว มาประกอบให้เป็นกลดที่เสร็จสมบูรณ์ เมื่อลูกศิษย์ทั้งหลายมาเยี่ยมท่าน เห็นพระเณรช่วยกันทำกลดใหญ่ ต่างก็พากันไม่ชอบ เมื่อเห็นแล้วใครๆก็รู้ว่ากลดใหญ่นี้ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์อย่างอื่น นอกจากทำไว้สำหรับเมรุเผาศพครูบาอาจารย์สายกรรมฐานเท่านั้น ลูกศิษย์ญาติโยมก็พากันนิมนต์ให้พระหยุดทำกลดใหญ่ พระก็บอกญาติโยมว่า "หลวงปู่ท่านสั่งให้ทำ" ลูกศิษย์ญาติโยมก็ไปกราบเรียนหลวงปู่ขอให้พระหยุดทำกลดใหญ่ เพราะยังไม่อยากให้หลวงปู่เป็นอะไรไป หลวงปู่รักษากำลังใจของลูกศิษย์ลูกหา ท่านก็ให้พระหยุดทำไว้ก่อน เมื่อมีผู้ถามท่านว่า "หลวงปู่ อาพาธคราวนี้จะหายไหม" ท่านก็ตอบว่า "หาย" ในขณะที่ญาติโยมมาช่วยกันตัดถางไม้ไผ่ที่ตายทำความสะอาดนั้น ถึงแม้ท่านเดินเองไม่ได้แล้ว ท่านก็ยังให้เอาเตียงไปตั้งในบริเวณใกล้ๆ แล้วท่านก็นั่งพักนอนพักให้กำลังใจอยู่ด้วย

 

หลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน มาเยี่ยม


ภาพวาดหลวงปู่มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เยี่ยมอาพาธหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล วันที่ 27 พฤษภาคม 2538
เป็นภาพจำลองเหตุการณ์ สถานที่ และการจัดวางข้าวของตามเป็นจริงทุกประการ

วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 หลวงปู่ฉันภัตตาหารเช้าได้นิดหน่อย เสร็จแล้วท่านให้นำท่านลงจากวิหารกลางน้ำ ไปพักใต้ร่มไม้ทางด้านทิศใต้ของวัด เวลาประมาณบ่าย 1 โมง หลวงปู่นอนพักอยู่บนเตียงแคร่ไม้ไผ่ ผู้เขียนกำลังนั่งถวายพัดให้หลวงปู่อยู่ ได้มองเห็นหลวงปู่มหาบัวเดินมาจากทางศาลา จึงกราบเรียนให้หลวงปู่ทราบ หลวงปู่ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง ผู้เขียนให้พระเณรช่วยยกเตียงไม้ไผ่มาตั้งจัดที่นั่งถวายหลวงปู่มหาบัว เมื่อท่านมาถึงก็รับจีวรจากท่านไปผึ่งที่สายระเดียงตากฟ้า ท่านนั่งบนเตียงที่จัดถวายหลวงปู่พร้อมด้วยพระอุปัฏฐากกราบด้วยความเคารพอ่อนน้อม เสร็จแล้วหลวงปู่มหาบัวจึงบอกหลวงปู่ว่า "เอ้านอนตามสบาย คนป่วย" แต่หลวงปู่ไม่ยอมนอน

หลวงปู่มหาบัวหยิบกล่องตลับหมากออกจากย่ามเล็กๆของท่าน แล้วฉันหมากไปพลางพูดคุยกับหลวงปู่อย่างเป็นกันเอง "ได้ทราบว่าไม่สบาย เลยตั้งใจมาเยี่ยม ไม่ใช่มาทรมานคนป่วยนะ เป็นอย่างไรบ้าง" หลวงปู่ยกมือขึ้นประนมแล้วกราบเรียนว่า "ขอโอกาสพ่อแม่ครูอาจารย์ หมอบอกว่าเป็นโรคไตรั่ว โรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่หมอนิมนต์ให้เกล้ากระผมไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่เกล้ากระผมไม่ไป" หลวงปู่มหาบัวจึงพูดขึ้นว่า "ถ้ามันครึ่งต่อครึ่งก็ไม่ไปละ โรงพยาบาลก็ที่คนตายนั่นแหละ เตียงไหนคนไม่ตายใส่ไม่มีแหละ ถ้าเราไปหาหมอ หมอเขาก็ทำตามหน้าที่ของเขา เราก็เหมือนกับท่อนไม้ท่อนซุงนั่นแหละ ไม่รู้ว่าเขาจะพลิกไปพลิกมาอย่างไรทำไปอย่างไรบ้างตามเรื่องของเขา หมอเขาไม่มีธรรมอะไรหละ มันอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ปล่อยเท่านั้นหละ"

เมื่อหลวงปู่มหาบัวท่านฉันหมากจืดคำหนึ่งแล้ว ท่านจึงพูดกับหลวงปู่อีกว่า "เอาละนะ จะกลับล่ะ ไม่มีอะไรจะเตือนกันหรอกนะ กัมมัฏฐานใหญ่เหมือนกัน" หลวงปู่พร้อมด้วยพระอุปัฏฐากกราบหลวงปู่มหาบัวด้วยความเคารพแล้ว หลวงปู่มหาบัวจึงหันไปพูดกับญาติโยมที่เข้ามากราบท่านในขณะนั้นว่า "ตั้งใจมาเยี่ยมอาจารย์บุญจันทร์ แต่ก่อนในคราวออกปฏิบัติ ท่านก็ออกปฏิบัติ เราก็ออกปฏิบัติ ได้เจอกัน ทุกข์ยากลำบากด้วยกัน เอาละกลับล่ะ เยี่ยมคนป่วยไม่รบกวนนานหรอก" ผู้เขียนนำจีวรเข้ามาถวาย แล้วจะรับย่ามท่านไปส่งที่รถซึ่งจอดอยู่ข้างศาลา ท่านไม่ให้รับ ท่านบอกว่า "จะทำให้ดู" แล้วท่านก็เอาย่ามเล็กๆของท่านใส่บ่าสะพาย เอาจีวรที่จีบเรียบร้อยแล้ว ใส่ไว้ที่รักแร้ เอาแขนหนีบไว้ แล้วท่านก็ลุกเดิน พร้อมกับพูดว่า "นี้ทำอย่างนี้ ไปไหนตามกันเป็นพรวน เห็นไหมมันเน่าเฟะอยู่นั้น นี้ทำอย่างนี้ ดูเอา" แล้วท่านก็เดินไปหารถ ผู้เขียนก็เดินตามหลังท่านไปส่งที่รถ ซึ่งจอดอยู่ข้างศาลาห่างจากที่หลวงปู่พักอยู่ประมาณ 5 เส้น

เมื่อเดินไปถึงรถแล้ว ท่านคลี่จีวรออกห่มคลุม ผู้เขียนนั่งลงกลัดลูกดุมรังดุมถวายท่าน พอดีมีลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่เป็นหมอเข้ามากราบเรียนหลวงปู่มหาบัวว่า "ลูกอยากจะนิมนต์ให้หลวงปู่บุญจันทร์ลงไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ท่านอาจารย์จะมีความเห็นว่าอย่างไร" ท่านตอบว่า "ให้ไปถามท่านเองนะ ถ้าท่านไปก็ไป ท่านไม่ไปก็แล้วแต่ท่าน" เสร็จแล้วหลวงปู่มหาบัวท่านก็ขึ้นรถกลับ

 

อาการทรุดลงเรื่อยๆ

ฉันอาหารได้น้อยลงทุกวัน อาการบวมเพิ่มมากขึ้น แต่ท่านยังให้นำท่านลงจากวิหารกลางน้ำไปพักตามร่มไม้ จนถึงเวลาเย็นจึงให้นำกลับเข้าพักในวิหารกลางน้ำ

 

อย่าอยากเด่นอยากดัง

วันหนึ่งขณะที่หลวงปู่พักอยู่ร่มไม้ ได้มีลูกศิษย์ลูกหาจากทางไกลมากราบเยี่ยมท่าน แล้วกลับไป หลวงปู่จึงเตือนพระลูกศิษย์ที่คอยอุปัฏฐากว่า "อย่าอยากเด่นอยากดังนะ มันยุ่งยากลำบาก อยู่สงบๆ มันสบาย"

ย้อนกลับ ต่อไป