อิริยาบถยืน เดิน ได้สิ้นสุดลง


เย็นวันที่ 7 มิถุนายน 2538 หลังจากพยุงหลวงปู่ยืนขึ้นนั่งรถเข็นจากเพิงมุงหญ้าใต้ร่มไม้ กลับขึ้นวิหารกลางน้ำ หลวงปู่เริ่มมีอาการไข้

วันที่ 8 มิถุนายน 2538 ตอนเช้า หลวงปู่ฉันพวกน้ำซุปนิดหน่อย แล้วท่านจะอยู่ในอิริยาบถนอนตลอด มีไข้สูงตลอดวัน ท่านไม่ให้ใครรบกวนจับต้องตัวท่าน คืนวันที่ 8 หมอตรวจพบว่าอาการไข้เกิดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และแขนซ้ายอักเสบเป็นผื่นแดง หมอจึงได้ขออนุญาตถวายยาปฏิชีวนะเข้าเส้น ในคืนวันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2538 เวลาประมาณ 04.00 น. อาการของหลวงปู่ดีขึ้นในวันรุ่งขึ้น แต่คณะญาติโยมเห็นว่าอาการบวมของหลวงปู่บวมมาก จึงอยากจะให้อาการบวมของหลวงปู่ลดลง แต่การจะทำให้บวมลดลง ต้องนอนโรงพยาบาล จึงจะมีเครื่องมือพร้อม จึงได้อ้อนวอนขอความเมตตาจากหลวงปู่ครั้งสุดท้าย เพื่อให้คณะศิษย์ได้ถวายการรักษา แต่หลวงปู่ไม่ยอมไป หมอให้สัญญากับหลวงปู่ว่า "ขอเพียง 3 วัน ถ้าไม่มีผลอย่างไรจะให้หลวงปู่กลับวัดได้" ในที่สุดหลวงปู่ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาแก่ศิษย์จึงอนุญาตให้ 3 วัน

คณะแพทย์จากโรงพยาบาลอำเภอไชยวาน ได้จัดรถพยาบาลถวายหลวงปู่ นำรถจอดที่ประตูทางเข้าวิหารกลางน้ำ นำเตียงรถพยาบาลเข้าไปในวิหารกลางน้ำ คณะศิษย์ผู้ชายช่วยกันยกหลวงปู่นอนบนเตียงพยาบาล แล้วหามมาขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าประตูทางเข้า เวลาประมาณ 11.00 น. รถนำหลวงปู่ออกจากวัดมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลอุดรธานี ผู้เขียนนั่งอยู่ข้างๆหลวงปู่ในรถพยาบาล ทำให้เกิดความสังเวชสลดใจอย่างยิ่ง เหมือนกับว่าการนำท่านเคลื่อนไหวทำให้ท่านสัมผัสกับทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่องค์ท่านไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไร เมื่อถึงโรงพยาบาลอุดรธานี หมอได้นำหลวงปู่เข้าพักที่ห้องพิเศษพระเถระ ตึกสงฆ์อาพาธ หมอได้ถวายน้ำเกลือเข้าเส้นและยาเพื่อจะทำให้ลดบวม แต่อาการไม่ดีขึ้นและเกิดการแทรกซ้อนทางหัวใจ จึงได้เชิญแพทย์ทางหัวใจเข้ามาตรวจอีก ในขณะที่แพทย์ทำการตรวจอยู่หลวงปู่จึงพูดว่า "ท่อนซุง ท่อนซุง" หลวงปู่พักรักษาอยู่ 1 คืน


พระอาจารย์อินทร์ถวายสนฺตุสฺสโก

เช้าวันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2538 อาการไม่ดีขึ้น ท่านจึงเร่งให้เอาท่านกลับวัด ท่านบอกว่า "ไม่มีประโยชน์ดอก เอากลับวัด เอากลับวัด" หลังจากฉันเช้าเสร็จในวันนั้น คณะศิษย์ได้ประชุมปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร พอดีท่านอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก วัดป่านาคำน้อย ได้เข้าไปเยี่ยมหลวงปู่ คณะศิษย์จึงได้ขอให้ท่านเป็นผู้กราบเรียนหลวงปู่ ขอให้อยู่ครบ 3 วันก่อน เมื่อท่านอาจารย์อินทร์ถวายเข้าไปกราบเรียน หลวงปู่ท่านยืนยันเร่งให้เอาท่านกลับ ในที่สุดคณะศิษย์ได้ปฏิบัติตาม ติดต่อรถพยาบาลนำหลวงปู่กลับวัด ขณะรอรถอยู่นั้น ท่านได้ถามเป็นระยะๆว่า "รถมาถึงหรือยัง ทำไมหายากแท้ ซื้อเอาก็ได้ตั้ว" หลวงปู่บอกให้ซื้อรถเพราะท่านอยากจะกลับถึงวัดให้เร็วที่สุด รถพยาบาลจอดที่หน้าตึกสงฆ์อาพาธ คณะศิษย์ได้ช่วยกันหามหลวงปู่ออกจากห้องพักพิเศษพระเถระ ชั้น 2 ตึกสงฆ์อาพาธลงไปขึ้นรถพยาบาลที่จอดอยู่หน้าตึก รถได้นำหลวงปู่กลับจากโรงพยาบาลอุดรธานีถึงวัดป่าสันติกาวาสเวลาประมาณบ่าย 3 โมงเย็น นำหลวงปู่เข้าพักรักษาต่อในวิหารกลางน้ำ

 


พระอาจารย์คำพอง ติสฺโส

วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน คณะศิษย์ได้ทำบุญต่ออายุถวายหลวงปู่ โดยนิมนต์ครูบาอาจารย์และพระสงฆ์จำนวน 100 รูป มาเจริญพระพุทธมนต์ถวายหลวงปู่เวลา 15.00 น. เสร็จแล้วหลวงปู่คำพอง ติสฺโส เป็นองค์ประธานนำเครื่องสักการะเข้าไปถวายหลวงปู่ในห้องพักในวิหารกลางน้ำ พร้อมกับขอนิมนต์ให้หลวงปู่อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของศิษยานุศิษย์อีกต่อไป ในวันที่ 11 นี้เป็นวันขึ้น 14 ค่ำ เป็นวันโกน แต่ไม่ได้ถวายโกนผมให้หลวงปู่ เพราะเห็นว่าอาการของท่านอ่อนเพลียมาก

วันที่ 12 มิถุนายน อาการของหลวงปู่เหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย ในวันนี้เป็นวันปาฏิโมกข์ หลังจากพระสงฆ์ลงปาฏิโมกข์แล้ว พระสงฆ์ 4 รูปจึงเข้าไปในห้องที่หลวงปู่อาพาธอยู่ หลวงปู่ไม่สามารถจะลุกขึ้นนั่งได้ ท่านจึงนอนบอกบริสุทธิ์แก่สงฆ์อยู่บนเตียงพยาบาล

วันที่ 13 มิถุนายน เป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 7 เห็นว่าหลวงปู่มีอาการไม่เพลียมาก จึงขออนุญาตปลงผมถวายท่าน เป็นการปลงผมของหลวงปู่ครั้งสุดท้าย หลวงปู่หยุดน้ำที่เป็นประเภทอาหารตั้งแต่วันนี้ไป คงเหลือแต่น้ำธรรมดาพอให้ชุ่มคอ

วันที่ 14 มิถุนายน ทุกขเวทนาแสดงอาการเต็มที่ คณะศิษย์พยุงให้หลวงปู่ลุกขึ้นนั่งอึดใจหนึ่ง แล้วต้องนำท่านนอนลง

วันที่ 15 มิถุนายน หลวงปู่ปิดวาจา ไม่พูดกับใครๆ ไตของหลวงปู่หยุดทำงาน ปัสสาวะไม่ออก น้ำท่วมปอด สะอึกตลอดเวลา เสลดอุดลำคอ ใช้เครื่องช่วยดูดเสลด หลวงปู่เริ่มหลับเวลา 7.45 น.

วันที่ 16 มิถุนายน หลวงปู่ไม่มีการตอบสนองในการรักษาใดๆ มีแต่ลมหายใจแผ่วๆ พอสังเกตได้ คณะแพทย์จึงมีความเห็นว่า ไม่สามารถแก้ไขอาการอาพาธครั้งนี้ได้ "สัพเพ สังขารา อนิจจาติ" สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง แปรปรวนไป ไม่มีใครจะมีอำนาจฉุดยึดสังขารไว้ได้ตามความปรารถนาของตน ดังนั้นคณะแพทย์จึงหยุดถวายการรักษา ตั้งแต่เวลา 14.10 น. เหลือเพียงถวายน้ำและเช็ดตัวหลวงปู่เป็นครั้งคราวเท่านั้น คณะศิษย์ได้แต่เพียงเฝ้าดูอาการของหลวงปู่ ปล่อยให้สังขารเป็นไปตามความเป็นอนัตตาในตัวเอง

 

อาลัยอาวรณ์ในหลวงปู่ผู้มีพระคุณ

ข่าวการจะละสังขารของหลวงปู่ได้แพร่กระจายไปในหมู่ศิษย์ ผู้ที่เคยได้พึ่งพิงอิงอาศัยความร่มเย็นจากบารมีของหลวงปู่ทั้งใกล้ทั้งไกล ได้หลั่งไหลมาสู่วัดป่าสันติกาวาส บางคนบางหมู่มีรถก็นั่งรถมา บางคนบางหมู่ไม่มีรถก็เดินมา ทั้งเด็กหนุ่มสาวและคนแก่เฒ่า ทั้งเดินบ้างและวิ่งบ้าง สาวเท้าเข้าไวๆ จิตใจจดจ่ออยู่ที่หลวงปู่ กลัวท่านจะจากไปก่อน จะไม่เห็นใจ เมื่อมาถึงวัดแล้วก็ทยอยกันขึ้นสู่วิหารกลางน้ำซึ่งเป็นที่ที่หลวงปู่กำลังทำหน้าที่จะละสังขารเข้าสู่นิพพาน

เมื่อเข้าไปถึงต่างคนต่างมีใจจดจ่อ ตามองจดจ้องไปที่ร่างสังขารของหลวงปู่ ซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ในห้องกระจก เพียงมีลมหายใจเข้าออกเหมือนคนนอนหลับ ส่วนมือก็ประนมขึ้นเหนือเกล้า ก้มกราบหลวงปู่ผู้เป็นที่รักสุดหัวใจ ทั้งสะอึกสะอื้น น้ำตานองหน้าด้วยความอาลัยอาวรณ์สุดหัวใจ ก้มกราบแล้วก้มกราบอีก หมู่แล้วหมู่เล่า ทยอยกันขึ้นลงในวิหารกลางน้ำ ตั้งแต่เวลากลางวันจนถึงย่างเข้าสองยาม ความสงบได้ปกคลุมทั่วบริเวณวัดคงเหลือแต่คณะศิษย์ พระเณร และฆราวาส ผู้มีหน้าที่ดูแลหลวงปู่ เปลี่ยนวาระกันนั่งทำความสงบ คอยสังเกตดูว่าหลวงปู่จะละสังขารเมื่อไร

 

กราบเรียนอาการให้หลวงปู่มหาบัวทราบ

เวลา 05.00 น. ของวันที่ 17 มิถุนายน 2538 ผู้เขียนได้เดินทางไปวัดป่าบ้านตาด ถึงวัดป่าบ้านตาดสว่างใกล้เวลาหลวงปู่มหาบัวท่านจะลงศาลา ผู้เขียนจึงพบพระผู้อุปัฏฐากท่าน บอกความประสงค์ให้ทราบ พระอุปัฏฐากให้เข้าไปพบหลวงปู่ที่กุฏิ เมื่อเข้าไปถึงบก็ขึ้นไปบนกุฏิท่านด้วยความเคารพ มีสติกำหนดรู้อยู่ที่ใจ นั่งลงกราบท่าน 3 หนแล้ว หลวงปู่มหาบัวท่านจึงถามว่า "มีธุระอะไร" ผู้เขียนยกมือประนมแล้วกราบเรียนท่านว่า "ขอโอกาสพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ขณะนี้หลวงปู่บุญจันทร์หยุดการรับรู้ภายนอกแล้ว เหลือแต่เพียงลมหายใจเข้าออกเท่านั้น และหมอได้หยุดถวายการรักษาใดๆทั้งหมดแล้ว แต่ถ้าจะถวายการหยอดน้ำเป็นครั้งคราวจะสมควรหรือไม่"

หลวงปู่มหาบัวท่านตอบว่า "ถ้าเราหยอดแล้วท่านไม่แสดงอาการอย่างไรก็หยอดได้ แต่ถ้าท่านแสดงอาการไม่ยอมรับก็ให้หยุด" ท่านถามว่า "มีอะไรอีกไหม" กราบเรียนท่านว่า "ไม่มี" ท่านพูดว่า "เอาละ กลับได้" กราบท่าน 3 ครั้งแล้ว จึงเดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส

หลังจากฉันเช้าเสร็จ ผู้เขียนและพระเณรคณะศิษย์ของหลวงปู่ ได้เฝ้าดูหลวงปู่อยู่ในวิหารกลางน้ำ อาการของหลวงปู่ในวันที่ 17 มิถุนายน 2538 ยังคงมีเพียงลมหายใจเข้าออก เหมือนคนนอนหลับ และมีอาการสะบัดศีรษะเป็นครั้งคราว คณะศิษย์ญาติโยม พระเณรยังทยอยกันไปมากราบหลวงปู่บนวิหารกลางน้ำมิได้ขาด

 

หลวงปู่มหาบัวเข้าเยี่ยมดูอาการ

องค์หลวงปู่มหาบัวได้เดินทางมาถึงวัดป่าสันติกาวาสเวลาประมาณ 11.00 น. ของวันที่ 17 มิถุนายน 2538 ท่านได้เข้าไปห้องที่หลวงปู่อาพาธอยู่บนเตียงพยาบาล องค์หลวงปู่มหาบัวเข้าไปใกล้ๆข้างเตียง ยืนกำหนดเพ่งดูหลวงปู่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอยออกมานั่งเก้าอี้หวายที่จัดถวายท่านอยู่ข้างๆเตียงหลวงปู่ พระที่คอยดูแลอยู่ในห้องอาพาธหลวงปู่ 4-5 องค์ พร้อมกันกราบองค์หลวงปู่มหาบัว แล้วท่านจึงถามอาการของหลวงปู่ว่า "ศีรษะสะบัดอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ หรือ" ผู้เขียนกราบเรียนท่านว่า "เป็นอยู่เรื่อยๆ" ท่านนั่งอยู่ในห้องครู่หนึ่ง แล้วจึงออกมานั่งห้องโถงที่หลวงปู่เคยนั่งรับแขก คณะศิษย์ญาติโยมที่รออยู่พากันกราบองค์หลวงปู่มหาบัวด้วยความปลาบปลื้มปิติยินีเป็นอย่างยิ่ง องค์หลวงปู่มหาบัวได้ให้โอวาทเตือนคณะศิษย์ที่นั่งห้องล้อมท่านอยู่ในขณะนั้นว่า "อาจารย์บุญจันทร์แสดงสัจธรรมความจริงให้พวกเราดู พากันดูเอา น้อมเข้ามาหาตัวเรา ในที่สุดเราก็จะเป็นเหมือนกับท่าน"

เมื่อให้โอวาทจบแล้วท่านจึงถามว่า "มีที่พักไหม จะคอยดูอาการท่านบุญจันทร์สักหน่อย ถ้าไม่มีที่พักก็จะกลับ" ผู้เขียนจึงกราบเรียนท่านว่า "มี เกล้ากระผม" แล้วจึงให้พระเณรจัดที่กุฏิเก่าของหลวงปู่ถวายให้ท่านพัก พระเณรพากันเข้าไปถวายนวด ท่านพูดคุยเรื่องธรรมะให้เป็นคติแก่พระเณรที่ถวายนวดอย่างเป็นกันเอง จนถึงเวลาบ่าย 2 โมง ท่านจึงถามถึงอาการหลวงปู่ ผู้เขียนกราบเรียนถวายท่านว่า "ยังเหมือนเดิม" แล้วองค์หลวงปู่มหาบัวท่านจึงเดินทางกลับวัดป่าบ้านตาด

ในวันที่ 17 นี้ ตลอดทั้งวันจนถึงกลางคืน คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่ได้ทยอยกันมาสู่วิหารกลางน้ำ อันเป็นที่ที่หลวงปู่จะละสังขารวิบาก แต่ละคนมีความกระวนกระวายใจไม่เป็นอันอยู่อันกิน กลับไปกลับมาระหว่างบ้านกับวัด มีความอาลัยในหลวงปู่ ที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรที่กำลังจะโค่นจากไปในไม่ช้า ทุกดวงใจคิดว่าหลวงปู่ต้องจากไปในคืนนี้อย่างแน่นอน บางคนถึงกับเอาเสื่อสาดมาปูตามร่มไม้รอบๆวิหารหลวงปู่ ทั้งนั่งนอนเพื่อคอยดูจะได้รู้ทันในเวลาหลวงปู่สิ้นลมปราณ ตอนหัวค่ำความมืดได้ปกคลุมทั่วบริเวณวัด จนเวลาล่วงเลยไปถึง 4-5 ทุ่ม พระจันทร์ข้างแรมในวันแรม 5 ค่ำ เดือน 7 จึงได้สาดแสงสว่าง ลอดแนวไม้ลงสู่พื้นบริเวณวัด มองเห็นคณะศิษย์ของหลวงปู่ที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้เพื่อหลบน้ำค้าง บ้างก็นั่งอยู่กลางแจ้ง บ้างก็นั่งสมาธิภาวนา บ้างก็นั่งซุบซิบกันว่า เราจะทำอย่างไร เมื่อหลวงปู่ละสังขารจากไป บ้างก็คุยกันว่าเราจะไปอยู่ที่ไหนเมื่อหลวงปู่จากไปแล้ว บ้างก็วิตกกังวลว่าต่อไปนี้เราจะพึ่งใคร ก้อนเมฆไหลผ่านบดบังพระจันทร์ ทำให้แสงสว่างสลัวลง เหมือนกับจะบอกว่าหลวงปู่จะจากไป แต่แล้วก้อนเมฆก็ผ่านไป แสงจันทร์สว่างขึ้น

เวลาผ่านไปถึงตีสาม เสียงไก่แจ้ที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ในบริเวณวัด ส่งเสียงขันเจื้อยแจ้วทั่วไปในบริเวณวัดเป็นสัญญาณบอกว่า "บัดนี้ใกล้สว่างแล้ว ประทีบแก้วจวนจะดับแล้วเต็มที จงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท" ใกล้สว่างพระปฏิบัติในห้องอาพาธหลวงปู่ช่วยกันสรงองค์หลวงปู่ด้วยการเช็ดตัวด้วยผ้าหมาด เสร็จแล้วช่วยกันพยุงองค์หลวงปู่จากท่านอนหงายเป็นนอนตะแคงข้างขวาสีหไสยาสน์ หลวงปู่ยังหายใจเข้าออกเหมือนคนนอนหลับ

 

วันแห่งดวงประทีบแก้วลาลับดับแล้วจากวัฏฏสงสาร

วันที่ 18 มิถุนายน 2538 ตรงกับวันอาทิตย์ แรม 6 ค่ำ เดือน 7 หลังจากฉันเช้าเสร็จแล้ว ดูอาการของหลวงปู่เหมือนคนนอนหลับ ผู้เขียนจึงลงจากวิหารกลางน้ำมาพบกับลูกศิษย์ที่มาจากบ้านโนนม่วงโคกใหญ่ อยู่ที่โรงต้มน้ำร้อนหน้าศาลาการเปรียญ เวลาประมาณ 10.30 น. เห็นรถตู้วิ่งเข้ามาจอดข้างศาลา มองไปดูในใจคิดว่าเหมือนกับรถองค์หลวงปู่มหาบัว พอรถจอดแล้วท่านเปิดประตูรถออกมาเป็นองค์หลวงปู่มหาบัวจริงๆ ผู้เขียนจึงรีบลุกไปรับท่าน ท่านบอกว่า "ไป รีบพาไปหาท่านบุญจันทร์" ผู้เขียนเดินนำท่านไปที่วิหารกลางน้ำ พอถึง องค์หลวงปู่มหาบัวท่านรีบเข้าไปในห้องอาพาธของหลวงปู่ ท่านยืนใกล้ๆทางศีรษะหลวงปู่ แล้วท่านเอามือท่านเปิดผ้าที่ปิดหน้าผากหลวงปู่ออกดู พร้อมกับพูดว่า "วันนี้บวมมากกว่าวานนี้" ในขณะนั้นหลวงปู่ได้หายใจเบาลง เหมือนกับจะขยิบตาเล็กน้อย แล้วหลวงปู่ก็หยุดหายใจละธาตุขันธ์ไปในที่สุดเมื่อเวลา 10.52 น. องค์หลวงปู่มหาบัวถอยไปนั่งเก้าอี้แล้วมองดูหลวงปู่พร้อมกับพูดว่า "เอ้า หยุดหายใจแล้ว" ระยะเวลาที่องค์หลวงปู่มหาบัวเข้าเยี่ยมอาการใช้เวลาเพียง 1.30 นาที ในขณะที่หลวงปู่ปล่อยวางขันธ์ห้านั้นเหมือนกับโลกธาตุนี้สงบนิ่งไม่มีอะไรเลย

หลังจากหลวงปู่ได้ละธาตุขันธ์แล้ว องค์หลวงปู่มหาบัวท่านจึงมอบหน้าที่ให้คณะศิษย์ของหลวงปู่จัดการเรื่องสรีระศพของหลวงปู่ แล้วท่านจึงออกจากห้องที่หลวงปู่ละสังขารมานั่งที่ห้องโถง จากนั้นเสียงระฆังในวัดได้ดังขึ้น เป็นสัญญาณให้รู้ว่าหลวงปู่ได้จากไป ดวงประทีบแก้วที่เคยให้แสงสว่างได้ดับลงแล้ว เหลือแต่ความมืดมนอนธกาลและความเศร้าสลดในหมู่ศิษย์ เมื่อได้ยินเสียงระฆังต่างคนก็รู้ว่าหลวงปู่ได้จากไป ต่างก็มารวมกันในมณฑลวิหารกลางน้ำอันเป็นสถานที่ที่หลวงปู่ละสังขาร สำหรับลูกศิษย์ผู้ชายและพระเณรก็เข้าในห้องที่หลวงปู่ละสังขาร ส่วนลูกศิษย์พวกผู้หญิงก็อยู่ข้างนอกห้อง มองผ่านกระจกเข้าไปดูองค์หลวงปู่ ซึ่งเหลือแต่รูปธาตุนอนนิ่งสงบอยู่ เป็นเวลาที่คณะศิษย์อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ บางคนก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น บางคนก็น้ำตาไหลได้แต่ปลงธรรมสังเว

"อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปฺปาทวยธมฺมิโน มีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปเป็นธรรมดา อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เกิดแล้วย่อมดับไป เตสํ วูปสโม สุโข ความเข้าไปสงบระงับแห่งสังขารเหล่านั้นได้ย่อมนำมาซึ่งความสุข" บัดนี้หลวงปู่ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับมาสู่โลกนี้อีกแล้ว แต่หลวงปู่เคยสอนว่า "บุคคลใดประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และระลึกถึงหลวงปู่ หลวงปู่ก็จะอยู่กับบุคคลผู้นั้นแหละ ผู้ใดขาดการปฏิบัติขาดการระลึกถึง หลวงปู่ก็ไม่อยู่กับบุคคลผู้นั้น"

คณะศิษย์ได้นำสรีระศพของหลวงปู่เข้าไปถวายการสรงน้ำในห้องน้ำสำหรับหลวงปู่ แล้วนำออกมาเปลี่ยนผ้าครองผ้าใหม่ถวาย แล้วนำองค์หลวงปู่นอนบนเตียงพยาบาล หมอปิดผ้าม่านฉีดยาสรีระศพ คณะศิษยานุศิษย์ยังรวมกันอยู่เต็มในวิหารกลางน้ำ องค์หลวงปู่มหาบัวท่านจึงบอกว่า "เราจะไปพักคอย เมื่อจัดการกันเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงไปบอกให้ทราบ" ผู้เขียนจึงจัดให้พระเณรนำท่านไปพักที่กุฏิของหลวงปู่ พระเณรถวายนวดท่านตามที่เคยปฏิบัติ หลวงปู่มหาบัวปรารภกับพระเณรที่คอยถวายนวดท่านว่า "ท่านบุญจันทร์คอยเรา พอเรามาถึงเข้าไปเยี่ยมก็ไปเลย"

 

องค์หลวงปู่มหาบัวเป็นประธานสรงน้ำศพ

คณะศิษยานุศิษย์กราบขอขมาศพหลวงปู่
หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน ชักผ้าบังสุกุล

เมื่อจัดการฉีดยาสรีระศพหลวงปู่เสร็จแล้ว จึงนำองค์หลวงปู่ออกจากห้องละสังขาร มาจัดไว้ที่ห้องโถง เพื่อให้ศิษยานุศิษย์ได้กราบไหว้และเตรียมสรงน้ำศพหลวงปู่ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงไปกราบเรียนให้หลวงปู่มหาบัวทราบ เวลา 14.00 น. องค์หลวงปู่มหาบัวลงสู่วิหารกลางน้ำ ชักผ้ามหาบังสุกุลที่ศพหลวงปู่ เสร็จแล้วท่านนั่งที่อาสนะ ผู้เขียนเข้ากราบเรียนเรื่องจัดการสรีระศพหลวงปู่ และขอถวายให้องค์ท่านเป็นประธานในการนี้ด้วย ผู้เขียนกราบเรียนท่านว่า "ขอโอกาสพ่อแม่ครูบาจารย์ จะให้เอาไว้กี่วัน" ท่านตอบว่า "เรื่องนี้ผมไม่พูดหรอกนะ ถ้าผมพูดไปคนจะตกนรกมาก เรื่องกิเลสมันท่วมท้นอยู่แล้ว ถ้าเป็นผมละไม่ยากหรอก พระพุทธเจ้าผู้เป็นองค์ศาสดาก็เพียง 7-8 วันเท่านั้นแหละ นี้ให้พิจารณาเองเองนะ ตามสมควร" แล้วท่านเมตตาถามว่า "หีบศพมีแล้วหรือยัง" เรียนถวายท่านว่า "มีแล้ว เกล้ากระผม" เรื่องหีบศพนั้น อาจารย์ประจวบ ยูนิพันธ์ พร้อมครอบครัวได้สร้างหีบในเป็นหีบทอง หีบนอกประดับมุก นำมาถวายไว้ตอนหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่


หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นประธานสรงน้ำหลวงปู่

จากนั้นจึงกราบนิมนต์ให้องค์หลวงปู่มหาบัวเป็นประธานนำสรงน้ำศพหลวงปู่ ต่อด้วยพระภิกษุสามเณร เสร็จแล้วจึงเป็นคณะญาติโยม ในขณะที่ญาติโยมกำลังชุลมุนกันจะสรงน้ำศพหลวงปู่อยู่นั้น องค์หลวงปู่มหาบัวท่านขอกลับก่อน ท่านว่า "ให้หลวงตาไปก่อน" ว่าแล้วท่านก็ออกจากวิหารกลางน้ำไปขึ้นรถที่จอดอยู่ข้างศาลาการเปรียญเดินทางกลับวัดป่าบ้านตาด


เชิญสรีระหลวงปู่ออกจากวิหารกลางน้ำ

คณะศิษยานุศิษย์หมุนเวียนกันเข้าสู่วิหารกลางน้ำ สรงน้ำสรีระศพหลวงปู่จนถึงเวลา 16.00 น. จึงเคลื่อนสรีระศพของหลวงปู่ออกจากวิหารกลางน้ำ ขึ้นสู่ศาลาการเปรียญ


เชิญสรีระหลวงปู่สู่ศาลาการเปรียญ

ให้โอวาทแก่บรรดาศิษยานุศิษย์ ได้ถวายน้ำสรงศพหลวงปู่ไปจนถึงวันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2538 เวลา 17.00 น. จึงได้นำสรีระของหลวงปู่เข้าบรรจุในหีบ ตั้งบำเพ็ญกุศลบนศาลาการเปรียญ เวลา 19.00 น. พระภิกษุสามเณรและญาติโยมประชุมทำวัตรเย็น ต่อด้วยการสวดมนต์ถวายหลวงปู่ เวลา 20.00 น. พระสงฆ์ 4 รูปสวดพระอภิธรรม โดยมีคณะศิษย์เป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม


ตั้งสรีระหลวงปู่บำเพ็ญกุศลที่ชั้นบนศาลาการเปรียญ

หลังจากองค์หลวงปู่มหาบัวได้มอบหน้าที่ให้คณะศิษย์หลวงปู่พิจารณาในการจัดการสรีระศพของหลวงปู่ คณะศิษย์ได้ประชุมลงมติว่า ถ้าจะเอาไว้ 7 วัน การเตรียมสถานที่จะพระราชทานเพลิงศพจะไม่ทัน จึงเลื่อนไปเป็น 15 วัน คือวันที่ 2 กรกฎาคม แต่ปรากฏว่าไปตรงกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะศิษย์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการไม่สะดวกในการที่จะปฏิบัติงานถวายหลวงปู่ จึงขอเลื่อนไปเป็น 21 วัน คือวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 เป็นวันพระราชทานเพลิงศพ

 

ตั้งสรีระศพบำเพ็ญกุศลบนศาลาการเปรียญ

นับตั้งแต่คืนวันที่ 19 มิถุนายน 2538 เป็นต้นไป คณะศิษยานุศิษย์ได้พร้อมกันบำเพ็ญกุศลเพื่อบูชาพระคุณของหลวงปู่โดยได้ประชุมทำวัตรสวดมนต์ ฟังสวดพระอภิธรรมและฟังพระธรรมเทศนาในเวลากลางคืนทุกคืน เวลาเช้าคณะศรัทธาญาติโยมได้มารวมกันทำบุญตักบาตรพระภิกษุสามเณรในบริเวณวัด และได้ช่วยกันเตรียมจัดทำเมรุสำหรับเป็นที่พระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ จนถึงวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 คณะศิษย์ต่างมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกันทุ่มเทกำลังกายกำลังใจกำลังทรัพย์เพื่อบูชาพระคุณของหลวงปู่ ซึ่งเป็นที่เคารพรักบูชาอาลัยอย่างยิ่ง

แต่ละวันได้มีครูบาอาจารย์พระภิกษุสามเณรและศรัทธาญาติโยมได้มากราบคารวะศพของหลวงปู่มิได้ขาด องค์หลวงปู่มหาบัวท่านก็ได้เมตตาเยี่ยมดูความเรียบร้อยในการเตรียมงานถึง 2 ครั้งก่อนจะถึงวันพระราชทานเพลิงศพ และผู้เขียนได้เดินทางไปที่วัดป่าบ้านตาดเพื่อกราบอาราธนานิมนต์ ขอให้องค์หลวงปู่มหาบัวเป็นองค์แสดงธรรมในวันพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ด้วย ท่านรับด้วยความเมตตา และพูดออกตัวว่า "เดี๋ยวนี้ไม่ได้เทศน์ที่ไหนแล้ว ความจำก็ลืมหน้าลืมหลัง ธาตุขันธ์ก็อย่างนั้นแหละ ดูก่อนว่าจะเป็นอย่างไร"

ย้อนกลับ ต่อไป