พ.ศ. 2537 พรรษาที่ 59 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส อาพาธครั้งที่ 10 สุดท้ายแห่งสังขาร

พรรษาที่ 59

31 ตุลาคม 2537

 

ในพรรษานี้พอเริ่มเข้าพรรษา หลวงปู่มีอาการไม่ค่อยสบายด้วยอาการเหนื่อย เบื่ออาหาร ฉันอาหารได้น้อย มีเลือดออกตามลำคอเป็นครั้งคราว ปัสสาวะบ่อยๆ ผอมลงเรื่อยๆ แต่ท่านไม่สนใจในสังขารที่เปลี่ยนแปลง เมื่อถึงเดือนกันยายน ซึ่งเป็นวาระที่อายุหลวงปู่จะครบรอบ 78 ปี ในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2537 ประกอบกับการก่อสร้างวิหารกลางน้ำ (พิพิธภัณฑ์บริขารหลวงปู่) ได้สำเร็จเรียบร้อยลง โดยใช้เวลาก่อสร้างอยู่ 2 ปี กับ 7 เดือน

ดังนั้นเพื่อเป็นการน้อมถวายบูชาพระคุณหลวงปู่ คณะศิษย์จึงได้กำหนดการทำบุญฉลองอายุครบ 78 ปีของหลวงปู่ และฉลองวิหารกลางน้ำด้วย ในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2537 โดยได้กราบนิมนต์พระเถรานุเถระมาเจริญพระพุทธมนต์ในวิหารกลางน้ำ คณะศิษยานุศิษย์ทั้งใกล้และไกลได้มารวมกันทำบุญเพื่อเป็นการถวายบูชาพระคุณหลวงปู่ในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก และได้ทำพิธีถวายวิหารกลางน้ำแก่สงฆ์ด้วย

หลังจากทำบุญถวายหลวงปู่แล้ว อาการอาพาธของหลวงปู่เริ่มชัดเจนขึ้น อาการเหนื่อยมีมากขึ้น ฉันอาหารไม่ค่อยได้ อาการอิดโรยปรากฏชัดขึ้น คณะศิษย์ได้ถวายการตรวจแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ ยกเว้นจะมีกรดยูริกสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นโรคประจำตัวของท่านอยู่แล้ว (เรื่องโรคเกาต์นี้เริ่มปรากฏให้เห็นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยมีอาการบวม เจ็บปวดตามหลังเท้า เห็นได้เมื่อเวลาที่โรคกำเริบ แพทย์ได้ถวายยาลดกรดยูริกอยู่เป็นประจำ อาการจะกำเริบบ่อยในช่วงที่หน่อไม้กำลังออกใหม่ๆ หรือญาติโยมมีจิตศรัทธาตุ๋นอาหารสัตว์ปีกมาถวาย แต่อาการอาพาธเหล่านี้ก็เป็นเพียงเล็กน้อยสำหรับองค์ท่าน เมื่อท่านหยุดฉันของแสลงและฉันยาอาการก็หายไป) คณะศิษย์ก็พยายามหายาบำรุงและอาหารเสริมมาถวาย อาการท่านก็ค่อยดีขึ้น ฉันอาหารได้มากขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น ท่านมีอาการดีขึ้นอยู่ประมาณ 1 เดือนครึ่ง หลังจากนั้นก็เริ่มทรุดลงอีก ด้วยอาการเหนื่อยเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตอนกลางวันหลังจากฉันเช้าเสร็จที่ศาลาแล้ว หลวงปู่จะลงไปพักที่วิหารกลางน้ำ และต้อนรับลูกศิษย์ที่มากราบเยี่ยมท่านที่นั้น พอเย็นท่านก็กลับไปที่กุฏิ

พอออกพรรษาเสร็จจากการทอดกฐินเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2537 หลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียลงมาก คณะศิษย์ลงความเห็นว่า "หรือจะเป็นเพราะหลวงปู่แพ้กลิ่นสีที่ทาวิหารกลางน้ำที่พึ่งเสร็จใหม่หรือไม่" จึงได้ขอนิมนต์ให้หลวงปู่ลองงดลงไปพักที่วิหารกลางน้ำ แต่อาการของท่านก็ยังอ่อนเพลียอยู่อย่างเดิม หลวงปู่ต้องการอยากอยู่สงบๆ โดยลำพังขององค์ท่าน ไม่อยากพูดคุยและเกี่ยวข้องกับคนอื่น แต่แล้วหลวงปู่ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา อดที่จะสงเคราะห์ศิษย์ผู้เดินทางมาไกลเพื่อกราบนมัสการท่านไม่ได้ ท่านจึงอนุญาตให้เข้ากราบท่านได้ ถึงแม้บางครั้งอาการไข้กำลังเบียดเบียนท่านอยู่ก็ตาม

 

ไปกราบนมัสการเยี่ยมหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ที่วัดถ้ำขาม


หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี

ก่อนที่หลวงปู่เทสก์จะละสังขารไม่นาน หลวงปู่ได้ไปกราบนมัสการเยี่ยมหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ที่วัดถ้ำขาม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เป็นเวลาเย็น เมื่อถึงที่รถจอด หลวงปู่ไม่ค่อยสบายจึงไม่มีกำลังพอที่จะเดินขึ้นไปที่ถ้ำขามได้ พระเณรและลูกศิษย์ที่ติดตามไปกับหลวงปู่ จึงช่วยกันหามรถเข็นที่หลวงปู่นั่งขึ้นไปถึงหลังถ้ำขาม แล้วหลวงปู่จึงเดินไปที่กุฏิที่หลวงปู่เทสก์ท่านพำนักอยู่ พระที่อุปัฏฐากหลวงปู่เทสก์จึงไปกราบเรียนท่านว่า "ท่านอาจารย์บุญจันทร์มา" หลวงปู่เทสก์ท่านอนุญาตให้เข้าไปได้ เมื่อหลวงปู่เข้าไปถึงแล้วก็กราบหลวงปู่เทสก์ด้วยความเคารพอ่อนน้อม แล้วหลวงปู่เทสก์จึงถามว่า "ทำอย่างไรจึงขึ้นมาได้" หลวงปู่ยกมือขึ้นประนมแล้วกราบเรียนว่า "ขอโอกาสเกล้ากระผม พระเณรช่วยกันหามขึ้นมา" หลวงปู่เทสก์ถามอีกว่า "อายุเท่าไรแล้ว" หลวงปู่กราบเรียนว่า "78 ปี เกล้ากระผม" หลวงปู่เทสก์พูดว่า "โอ้ ใกล้จะตายเหมือนกันนะ ผมนี้ก็เต็มทีแล้ว ตาก็มองไม่เห็น ร่างกายนี้ไม่มีอะไรแล้ว มีแต่กระดูกเท่านั้นแหละ ดูกระดูกเท่านั้นแหละนะ" หลวงปู่เยี่ยมหลวงปู่เทสก์ไม่นาน จึงได้กราบลาหลวงปู่เทสก์กลับ เมื่อมาถึงวัดแล้วท่านก็มาเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง

 

ไปกราบคารวะศพหลวงปู่เทสก์ที่ถ้ำขาม

เมื่อหลวงปู่ทราบว่าหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ได้ละสังขารไปเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2537 เวลา 21.30 น. หลวงปู่จึงได้เดินทางไปกราบคารวะศพหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ที่วัดถ้ำขามเป็นครั้งสุดท้าย

 

ไปกราบคารวะศพหลวงปู่ชอบ ฐานสโม

และเมื่อท่านได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้ละสังขารเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2538 ถึงวันที่ 10 มกราคม หลังจากฉันจังหันเช้าที่วัดแล้ว ท่านจึงพาคณะศิษย์ทั้งพระและโยมไปกราบคารวะศพของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน อ.วังสะพุง จ.เลย ถึงวัดป่าสัมมานุสรณ์เวลาบ่ายสามโมงเย็น เจ้าหน้าที่งดให้ประชาชน พระเณรสรงน้ำศพหลวงปู่เพราะใกล้เวลาน้ำหลวงพระราชทานจะมาถึง เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นหลวงปู่เพิ่งไปถึง จึงอนุญาตพิเศษให้เฉพาะหลวงปู่กับพระที่ติดตามไปขึ้นบนศาลา ส่วนญาติโยมให้รอไว้ก่อน เมื่อขึ้นไปถึงบนศาลา หลวงปู่พาพระลูกศิษย์ที่ติดตามไป กราบคารวะศพหลวงปู่ชอบ ท่านพากราบทางศีรษะ แล้วท่านก็พากันหันไปกราบทางเท้าอีก พร้อมกับพูดว่า "กราบสุดหัวสุดเท้า" เสร็จแล้วจึงนั่งที่อาสนะสำหรับพระเถระ เมื่อน้ำหลวงมาถึง องคมนตรีเป็นผู้นำน้ำหลวงอาบศพ เสร็จแล้วนำศพหลวงปู่ชอบเข้าหีบ ประกอบศพตั้งแท่นเสร็จเรียบร้อย ทำพิธีขอขมาศพหลวงปู่ชอบ เสร็จแล้วหลวงปู่จึงได้พาเดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส

 

โปรดญาติเป็นครั้งสุดท้าย


มกราคม 2538 ก่อนอาพาธ 3เดือน

ปีเก่าผ่านไปย่างเข้าปีใหม่ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2538 หลวงปู่ยังเดินรับบิณฑบาตในบริเวณวัด โปรดลูกศิษย์ที่มาร่วมกันทำบุญตักบาตรเป็นจำนวนมากในวันขึ้นปีใหม่ วันคืนผ่านไป ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ สุขภาพของหลวงปู่มีอาการดีขึ้น ฉันอาหารได้บ้างดูมีแรงขึ้น คณะศิษย์ที่กรุงเทพฯ ได้กราบอาราธนาให้หลวงปู่ลงไปโปรดที่กรุงเทพฯ พร้อมกับครบกำหนดการตรวจตาข้างขวาของหลวงปู่ด้วย ควรมิควรอย่างไรแล้วแต่หลวงปู่จะเมตตา เมื่อใกล้กำหนดจะเดินทางลงกรุงเทพฯ คณะศิษย์ผู้ปฏิบัติหลวงปู่ที่วัดจึงกราบเรียนถามท่านว่า "หลวงปู่จะรับนิมนต์ลงกรุงเทพฯหรือไม่" หลวงปู่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงบอกว่า "เอ้า ไปโปรดญาติครั้งสุดท้าย"

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2538 หลวงปู่เดินทางลงกรุงเทพฯ โดยเครื่องบิน เที่ยวบินเวลา 19.45 น. ออกจากอุดรฯ ถึงดอนเมืองกรุงเทพฯ เวลา 20.45 น. ลูกชายคุณนิดา ชิตานนท์ นำรถมารับหลวงปู่พร้อมกับพระติดตามอีก 2 รูป ไปพักที่รถรางที่คุณนิดาจัดถวายสำหรับเป็นที่พักของหลวงปู่

วันที่ 3 มีนาคม เช้ารับบิณฑบาตฉันเช้าที่บ้านคุณนิดา บ่าย 1 โมง ตรวจตาที่ไทยจักษุคลินิก บ่าย 3 โมงเยี่ยมท่านผู้หญิงจรวย ท่านผู้หญิงถวายสังฆทานด้วย ตอนเย็นให้โอวาทธรรมแก่ลูกศิษย์ที่มากราบฟังธรรม

วันที่ 4 มีนาคม หลวงปู่รับบิณฑบาตฉันเช้าในพิธีสมรสคุณอภิพร ยูนิพันธ์ บุตรสาวของอาจารย์เสรี-อาจารย์ประจวบ ยูนิพันธ์ ที่บ้านคอนโด สุขุมวิท 33 ตอนบ่ายคุณปั๊ก นิมนต์หลวงปู่รับถวายสังฆทานที่บ้าน

วันที่ 5 มีนาคม ตอนเช้าหลวงปู่รับบิณฑบาต ฉันเช้าที่บ้านคุณนิดา ทำบุญอุทิศกุศลให้คุณแม่ ตอนบ่ายหลวงปู่ไปรับไทยทานโปรดคุณไพบูลย์-คุณนงค์ลักษณ์ที่บ้าน แล้วต่อไปวัดสายตาตัดแว่น

 

เสนาพระยามัจจุราชเข้าย่ำยีสังขารนครของหลวงปู่

คืนวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2538 หลวงปู่เกิดท้องร่วง 4 ครั้ง และมีไข้ หลวงปู่อยู่ในความสงบนิ่งตลอดเวลา

เช้าวันที่ 6 มีนาคม คุณทวีสิทธิ์ ทีระฆะวงศ์ นำรถมารับหลวงปู่ไปรับฉันบิณฑบาตที่บ้าน หลวงปู่ไม่สามารถจะไปได้ ท่านจึงให้ผู้เขียนไปแทน ในวันที่ 6 นี้ หลวงปู่ไม่ออกจากที่พัก หมอถวายเกลือแร่ บ่ายอาการดีขึ้นและดีขึ้นเรื่อยๆ หลวงปู่พักที่รถรางจนถึงวันที่ 9 อาการไข้และท้องเสียเป็นปกติ แต่มีอาการปวดฟัน

 

ไปพักผ่อนที่หัวหิน

ถ่ายที่หัวหิน 12 มีนาคม 2538
ระหว่างไปพักผ่อนประมาณ 2 สัปดาห์
ก่อนเริ่มอาพาธครั้งสุดท้าย

วันที่ 11 มีนาคม เวลาบ่ายสามโมงเย็น หลวงปู่เดินทางจากกรุงเทพฯ โดยรถตู้ของคุณอรวรรณ จัยวัฒน์ ถึงหัวหินเวลา 6 โมงเย็น หลวงปู่พร้อมด้วยพระติดตามอีก 2 รูป พักที่สุญญาคาร (บ้านว่าง) ริมทะเล ของคุณโยมประภา จัยวัฒน์ ขณะที่หลวงปู่พักอยู่ที่หัวหิน ฟันอักเสบบวมมาก ได้พบหมอฟันที่คลินิกอำเภอหัวหิน 2 ครั้ง อาการค่อยดีขึ้น

 

ลิงรักลูก

วันหนึ่งคุณไพบูลย์ขับรถส่วนตัวจากกรุงเทพฯ ไปกราบเยี่ยมหลวงปู่ที่หัวหิน พอมีโอกาสจึงรับหลวงปู่พร้อมพระติดตาม ไปชมวัดเขาตะเกียบ ซึ่งเป็นภูเขาอยู่ติดทะเล และให้ทานกล้วยแก่ลิงด้วย ลิงวิ่งมาแย่งกล้วยกันชุลมุนตามประสาของลิง มีแม่ลิงตัวหนึ่งวิ่งมา ปากของมันคาบลูกเอาไว้ แต่ลูกของมันเป็นลูกที่ตายจนแห้งแล้ว พอมันแย่งกล้วยได้แล้ว มันก็เอามือของมันจับลูกที่ปากลงวางไว้ แล้วมันก็กล้วย พอกินกล้วยหมดมันก็จับเอาลูกที่ตายแล้วของมันใส่ปากคาบไว้ แล้วก็เดินต่อไป หลวงปู่จึงชี้ให้ดูว่า "ดูซิ ลิงมันรักลูกของมัน แม้จะเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ถึงลูกของมันตายแล้วก็ตาม ไปไหนมันก็คาบไปด้วยเพราะมันไม่รู้ว่าลูกของมันตาย ด้วยความรักความอาลัย"

ขณะที่หลวงปู่พักอยู่ที่หัวหิน ลูกศิษย์ที่ไปกราบเยี่ยมต่างคนก็กราบเรียนหลวงปู่ว่า "ที่นี้อากาศดีเย็นสบายดี" หลวงปู่พูดแย้มๆว่า "อากาศมันดี แต่เราไม่ดี" หลวงปู่พักที่หัวหินจนถึงวันที่ 26 มีนาคม จึงเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ พักที่กรุงเทพฯ 1 คืน วันที่ 27 มีนาคม เดินทางจากกรุงเทพฯโดยเครื่องบินเที่ยวบ่าย 5 โมงเย็นกลับอุดร ถึงวัดป่าสันติกาวาส เวลา 20.00 น.

ย้อนกลับ ต่อไป