โยม หลวงปู่คะเป็นไปได้ไหมคะ ว่าก่อนตายเราตั้งใจว่าจะไปเกิดเป็นอะไรได้ไหมคะ?
หลวงปู่ ก็ได้ นี่ก็เป็นการตั้งอุปาทานของตน...ตั้งใจว่าจะเกิดเป็นอะไรล่ะ?
โยม เกิดเป็นเมฆค่ะ ไม่อยากเป็นคน ไม่อยากเป็นอะไร เป็นเมฆได้ไหมคะ?
หลวงปู่ ไปเป็นเมฆหมอกทำไม ทำไม่ได้ เมฆหมอกนั้นไม่มีวิญญาณ
โยม ถ้าอย่างนั้นตายแล้วไปไหน ตายแล้วต้องเกิดมาทุกครั้งหรือคะ ?
หลวงปู่ ก็ต้องเกิด เราไม่อยากเกิดแล้วจะไปไหนล่ะ
โยม แล้วตายแล้วไปไหนคะ?
หลวงปู่ ก็แล้วแต่เรา ว่าประพฤติคุณงามความดี ประพฤติศีลสมาธิอะไร ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ทำความบริสุทธิ์โดยเฉพาะตัวของเราบริสุทธ์แล้ว ถ้าสิ้นลมหายใจ จะไปเกิดเป็นพกามาวจร ไปเกิดเป็นเทพธิดา ถ้าอย่างต่ำนะ ถ้าสูงขึ้นไปเป็นพรหม จากชาติเหล่านั้นก็ก้าวขึ้นไปพระนิพพาน มันก็ปรารถนาอยากมาเกิดอีก มันเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น เป็นเมฆหมอกมันก็เป็นทุกข์อีก อย่าเอาอย่างนั้น ดูที่ใจของเรามันมีอะไร อันนั้นมันเป็นสัญญา ไม่ต้องคิด ไม่ต้องนึก มันเสียดายความเกิด ยังอยากจะเกิดอยู่ ยังไม่เบื่อหรือ?
โยม เบื่อค่ะ ไม่อยากเกิดแล้ว
หลวงปู่ ไม่อยากเกิด ทำไมอยากเป็นเมฆ
โยม ก็เห็นเกิดเป็นโน่นเป็นนี่ น่าเบื่อค่ะ
หลวงปู่ ไม่มีทางที่จะไปเป็นเมฆหมอกอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ให้เราไปสู่พกามาวจร บนสวรรค์นั่นอย่างน้อย อย่างที่เก่งกล้าพอจะไปสู่พรหมโลกหรือไปสู่พระนิพพาน ทำไมล่ะ? คิดไปอย่างนั้น นึกว่าเป็นก้อนเมฆนั้นจะสบายอย่างนั้นหรือ เลิกจากความคิดอันนี้เสียนะ ไม่ต้องคิดอีก บำเพ็ญที่ใจ ไม่ต้องคิดอย่างอื่น คิดอย่างอื่นทำไม ยุ่งให้เสียเวลา เข้าใจไหม?
โยม เข้าใจค่ะ
หลวงปู่ นี้ก็เนื่องจากความไม่รู้ เนื่องจากความไม่ฉลาด คิดไปในแง่ต่างๆก็เพราะไม่เคยได้ยินได้ฟัง ก็เลยคิดไปอย่างนั้น สำหรับพวกเรา เคยได้ยินได้ฟังการอบรมจากครูบอาจารย์นั้นก็ค่อยยังชั่ว บางคนก็ว่าแต่บางคนชั่ว คนที่ทำความชั่วก็มีเหมือนกันกับเรา อย่าไปเป็นชั่วดี อย่างนี้ก็มี นี่พูดมานี้ไม่ใช่เทศน์ เทศน์ก็ตั้งท่านะโมก็ได้ เดี๋ยวรีบกระเสือกกระสนแล้ว กลัวจะค่ำ มันก็ค่ำอยู่อย่างนี้ มันก็แจ้งอยู่อย่างนี้ จะไปกลัวทำไม กลัวแล้ว กลัวมืด มันมืดอยู่ตลอดเวลา มันแจ้งอยู่ตลอด นับแต่เราเกิดขึ้นมา มันเป็นอยู่อย่างนั้น
โยม กลัวหลวงปู่เหนื่อยเจ้าค่ะ
หลวงปู่ สมมติขึ้นมาอย่างนั้น กลัวเราจะเหน็ดเหนื่อย ว่าอย่างนั้น ความคิดน่ะ ก็เลิกกันไปซิ แต่เราไม่เป็นไร ความจริงเราน่ะร้อนกว่าลูกศิษย์ลูกหา นี่หาทางออก ใช่ไหมล่ะ? การฟังก็ให้ได้ความไม่น้อยก็มาก ถึงอย่างไรก็อุตส่าห์พยายามมาแล้ว ครูบาอาจารย์ก็อุตส่าห์ มิใช่ว่าพูดกันเล่นเฉยๆ พยายามพูดให้ฟังเพื่อจะให้เข้าอกเข้าใจ เพื่อจะให้รู้จักแนวทางการปฏิบัติ พูดกันเพื่อให้รู้จักเรื่องเหตุและผล พูดเพื่อให้รู้จักแนวทางการปฏิบัติเอาเป็นของตน หรือไม่อยากพ้นทุกข์ ว่าไง?
โยม อยากได้แนวทางที่นำกลับไปปฏิบัติครับ

 


ภาพจาก http://www.ldd.go.th/EFiles_project/article/article09.html

หลวงปู่

อย่าไปติดสวน ทำสวนให้ลูก ทำไร่ทำนาก็ให้รู้ละ อาศัยสิ่งไหน ให้รู้ละสิ่งนั้น ไม่ต้องยึดไม่ต้องถือ เราทำไปก็เพื่อยังชีพให้มีอยู่มีกิน แต่สิ่งเหล่านี้เราเป็นแต่เพียงว่าอาศัยชั่วขณะชีวิตของเรานี้ เราไม่ไปติดจนแยกกันไม่ได้ ให้รู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นของที่เกินตัวเหมือนกัน มันก็ต้องทำลายเหมือนกัน อย่าเอาเหมือนอย่างภรรยากับสามีนะ เกาะกันอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวก็ไปเกิดเป็นสุกร เอาอย่างนั้นไม่ได้ นี้ไปเป็นชาวสวน เดี๋ยวไปเกาะต้นนาข้าวหรือต้นพืช หรือต้นไม้ในเรือกสวนของเรา เราจะไปเป็นอะไรอย่างนั้น

เหมือนอย่างนิทานท่านเล่าว่า เศรษฐีปลูกอ้อยไว้กอหนึ่ง ในกาลครั้งนั้น เศรษฐีก็กำลังป่วย พอเมื่ออาการหนักแล้ว จิตก็เลยไปเกาะอยู่ที่กออ้อย ไปติดอย่างนั้น พอเมื่อไปติดอย่างนั้น พอลมหายใจสิ้นปุ๊บ ดวงวิญญาณก็ไปเกาะอย่างนั้น ไปเกิดเป็นตัวด้วงอยู่ที่อ้อย ตอนแรกบอกในครอบครัวว่า ถ้าหากว่าเราตายนั้น เราทำกองทรายของเรา เวลากองทรายของเราดันขั้น นั้นได้ชื่อว่าเราไปเกิดในสวรรค์ สัญญาอันนี้ผลสุดท้ายในเวลาตอนนั้น เมื่อสิ้นลมหายใจ ใจมันไปเกาะที่อ้อย เลยไปเกิดเป็นด้วงอยู่ที่อ้อย พวกภริยาหรือลูกๆหลานๆ เคยได้ยินได้ฟังมา ก็เลยคอยแล้วคอยเล่าก็ไม่ได้ยินเสียงเลย พ่อของเราไปเกิดที่ไหน ท่านให้สัญญาว่า ถ้าไปอยู่สวรรค์แล้วกองทรายก็คงดันขึ้น ก็ไม่ได้ยินเสียงเลย ผลสุดท้ายก็เลยไม่ได้ยินเสียง ต่อมาก็เลยกราบทูลถามพระพุทธเจ้าของเรา "เศรษฐีเมื่อเวลาสิ้นลมหายใจแล้วว่าจะไปอยู่พกามาวจร แล้วก็ให้สัญญาว่า ถ้าไปอยู่สวรรค์แล้วกองทรายก็จะดันขึ้น ก็จะเป็นดินร่วน นี้ก็ยังไม่ได้ยินเสียง ขอพระองค์ทรงแสดง" พระองค์บอกว่า "เศรษฐียังไม่ได้ไปนี่ ไปดูที่อ้อยนะ" พระองค์ก็ไม่ได้แนะนำให้ตัด ก็กลับไปดู ทำไมพระพุทธเจ้าของเราแสดงอย่างนั้น พอดีอยู่ต่อมาเขาก็ไปตัดอ้อยต้นนี้ พอตัดอ้อยก็ไปถูกตัวด้วงตาย พอเมื่อตัวด้วงตายก็เลยวิญญาณนั้น ลอยขึ้นไปสู่พกามาวจรสวรรค์ กองทรายจึงดันขึ้นมา จึงรู้จากพระพุทธเจ้าของเรา รู้ว่าเศรษฐีไปติดอยู่ในอ้อย ถึงแม้ว่าทำความดี ถ้าจิตของเราไม่ระมัดระวังในเวลาตาย ถ้ามันไปเกาะที่ไหน มันก็ต้องไปอยู่ที่นั้น นี่เพราะฉะนั้นพวกเรารู้จักพยายามฝึกหัดการภาวนา ไม่ให้เอาใจของเราไปเกาะ คนที่ไม่เคยรู้ ไม่ประพฤติปฏิบัติ ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ระวังให้ดี เดี๋ยวจะไปเกาะโน้นเกาะนี้ ไม่ได้ไปสู่สุคติ จะไปสู่ทุคติ เอ้า! เหนื่อยไหม?

โยม ไม่เหนื่อยค่ะ ฟังหลวงปู่พูด
หลวงปู่ หลวงปู่พูดมาหลายวันแล้ว ถ้ามีคนก็ต้องพูด เพราะเมตตาอุตส่าห์พยายามแยกแยะแนวทาง เพื่อให้เข้าใจรู้จักการประพฤติปฏิบัติด้วยความเมตตาสงสาร เหมือนอย่างหลวงปู่ฝั้น เคยไปหรือเปล่า
โยม ไม่เคยค่ะ ไม่ทันค่ะ
หลวงปู่ หลวงปู่ฝั้นท่านอุตส่าห์พยายาม เมื่อเวลาท่านมีเสียง ลูกศิษย์ลูกหาเข้าไปอย่างนี้ ถึงท่านนอนป่วยอยู่ อาการหนักอยู่ก็ลุกมาเทศน์มาสอน เพราะเมตตาจึงอุตส่าห์พยายาม แต่ถึงอย่างนั้นก็มีผู้ที่คอยประคับประคอง ไม่อยากให้ท่านพยุงตัวขึ้นพูดกับใคร เทศน์ให้ใคร เพราะว่าเป็นวาระสุดท้าย แต่ท่านก็ยังไม่ขาดความเมตตาสงสาร อยากให้เข้าใจ อยากให้ได้รับความสุข มีสุคติ ไม่อยากให้ไปทุคติ ทุคติคือเป็นเปรตอสุรกาย เป็นสัตว์นรก สุคตินับแต่มนุษย์ของเราขึ้นไป ท่านเมตตาอย่างนี้ เราจะรับเมตตาไหม?
โยม รับค่ะ
หลวงปู่ ถ้ารับก็ต้องอุตส่าห์พยายามทำ อย่าไปกลัวตายเท่านั้น พูดอย่างนี้หาว่าดุหาว่าด่า เหมือนอย่างคุณหมอ...สามีไปถามอย่างนั้นอย่างนี้ ผมยังไม่เข้าใจ ก็เลยเล่าเรื่อง ท่านอาจารย์มหาบัวเทศน์ให้คุณหญิง ท่านเวลาเทศน์ไปๆ เลยถามคุณหญิงว่า "เป็นยังไงคุณหญิง เข้าใจไหม" "ยังเจ้าค่ะ" ก็เลยอธิบายอีก พอเมื่อเวลาอธิบายไป ก็ถามว่า "เป็นยังไง เข้าใจหรือเปล่า" "ยังเจ้าค่ะ" ก็เลยอธิบายอีก ก็อยากให้เข้าใจ แล้วก็ถามอีก "เข้าใจรึเปล่า" "ยังเจ้าค่ะ" "ก็บ้าล่ะซิ" พอพูดอย่างนี้ แกเลยว่า "แหม! ท่านอาจารย์หาเรื่องด่า" "ไม่ใช่ นี้เล่าเรื่องให้ฟังต่างหาก ท่านอาจารย์มหาบัวท่านเทศน์อย่างนี้ ท่านพูดอย่างนั้น" "ไม่ใช่ ท่านต้องหาเรื่องด่าผม" อย่างนั้น พูดยังไงก็ไม่ยอม เลยบอกว่า "ถ้าหากว่าเป็นลูกศิษย์ของอาตมา อาตมาก็พูดอย่างนั้น นี่อาตมาถือว่าเป็นลูกศิษย์ของอาตมา จึงกล้าพูดอย่างนี้ คุณจะไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของอาตมาหรือ" จึงยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา ผลสุดท้ายก็เลยติดตามมาถึงที่นี่ ก็เลยถามว่า "เป็นยังไง โกรธท่านอาจารย์ไหม" "ผมไม่โกรธ ผมเลิกแล้ว ผมรู้สึกว่าภูมิใจมาก ท่านเมตตา" "เออ! ถ้าอย่างนั้นก็เป็นลูกศิษย์กันได้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็ไม่เป็นลูกศิษย์กันอีกต่อไป เลิกกันแล้ว ไม่ถือกันเป็นครูบาอาจารย์เป็นลูกศิษย์กัน" แต่นั้นมาก็รู้สึกว่าภูมิใจ พวกเราถ้าเข้าใจอย่างนั้นก็ตามใจ ครูบาอาจารย์ว่าอะไรก็ไม่ต้องมาอีกก็ได้ ได้ยินไหม?

 

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12